คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2643/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของ ส. , จ. และ ช. ล้วนสอดคล้องต้องกัน แม้เป็นพยานบอกเล่าและพยานซัดทอดระหว่างผู้กระทำความผิดก็ตาม แต่การที่ ส. , จ. และ ช. ให้การไปดังกล่าว เพียงเป็นการบอกเล่าเรื่องราวถึงที่มาของเมทแอมเฟตามีนมิใช่กระทำไปโดยมุ่งต่อผลเพื่อให้ตนเองพ้นผิดแล้ว ให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 รับผิดเพียงลำพังนอกจากนั้น ส. กับ จ. ยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจำเลยที่ 1 โดย ส. เป็นน้องชายและ จ. เป็นภริยา จึงไม่มีเหตุผลใดที่ต้องการกลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลยที่ 1 พยานบอกเล่าและพยานซัดทอดเช่นนี้ถือได้ว่ามีลักษณะและแหล่งที่มา ซึ่งน่าเชื่อว่าจะสามารถพิสูจน์ความจริงได้ จึงนำมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับ ส. และ จ. ครอบครองเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน
ส่วนจำเลยที่ 2 เพียงร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนมาส่งขายให้แก่จำเลยที่ 1 โดยในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ จำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องด้วย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมในการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่การที่จำเลยที่ 2 นำเมทแอมเฟตามีนมาส่งขายให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 1 มีไว้จำหน่ายอีกทอดหนึ่งนั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่การที่จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่ายแล้ว จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำดังกล่าว
โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นผู้สนับสนุน ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ เพราะโทษเบากว่าความผิดฐานเป็นตัวการ จึงมิได้เป็นการเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องอันต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคแรก

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต และปรับคนละ 1,200,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 (ที่ถูก มาตรา 30 ด้วย)
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายสุภาษิตหรือโก น้องชายของจำเลยที่ 1 และนางสาวจำปี ภริยาของจำเลยที่ 1 โดยยึดได้เมทแอมเฟตามีน 1,800 เม็ด เป็นของกลาง ซึ่งศาลมีคำพิพากษาลงโทษนายสุภาษิตกับนางสาวจำปีแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1857/2547 ของศาลชั้นต้น คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ พยานโจทก์มีพันตำรวจตรีสุพจน์ จ่าสิบตำรวจโกศล และสิบตำรวจเอกเอกลักษณ์ เบิกความว่า พยานทั้งสามสืบทราบว่า นายสุภาษิตเป็นผู้ค้าเมทแอมเฟตามีนในวันที่ 12 พฤษภาคม 2546 พยานทั้งสามกับพวกร่วมกันให้สายลับติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายสุภาษิต หลังจากล่อซื้อได้เมทแอมเฟตามีน 1,800 เม็ด นายสุภาษิตให้การว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 และนางสาวจำปี จากนั้นนายสุภาษิตพาไปที่บ้านของจำเลยที่ 1 และนางสาวจำปี เมื่อไปถึงพบนางสาวจำปีอยู่บ้านคนเดียวจึงจับกุมนางสาวจำปี พยานทั้งสามแจ้งข้อหานายสุภาษิตและนางสาวจำปีว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน นายสุภาษิตและนางสาวจำปีให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมกับให้การว่าจำเลยที่ 1 ได้เมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลยที่ 2 และนายชะลอหรือแม๊ก ตามบันทึกคำรับสารภาพ พันตำรวจตรีขจิตร พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ชั้นสอบสวนนายสุภาษิตกับนางสาวจำปีให้การรับสารภาพโดยนายสุภาษิตให้การว่า ภายหลังสายลับติดต่อขอซื้อเมทแอมเฟตามีน นายสุภาษิตได้ติดต่อจำเลยที่ 1 กับนางสาวจำปีทางโทรศัพท์ จำเลยที่ 1 กับนางสาวจำปีบอกว่ามีเมทแอมเฟตามีน 1,800 เม็ด หากขายได้ก็ขอเงินเพียง 80,000 บาท เมื่อนายสุภาษิตพาสายลับไปที่บ้าน จำเลยที่ 1 กับนางสาวจำปีบอกให้ไปเอาเมทแอมเฟตามีนที่เรือนในสวนยางพาราห่างจากบ้าน 400 เมตร ซึ่งก่อนนี้นายสุภาษิตเคยไปเอามาแล้วครั้งหนึ่ง หลังจากนายสุภาษิตไปเอามาให้สายลับก็ถูกจับกุม ส่วนนางสาวจำปีให้การว่า จำเลยที่ 2 กับนายชะลอเป็นผู้นำเมทแอมเฟตามีนมาส่งให้จำเลยที่ 1 ประมาณ 5 ครั้ง ครั้งหลังสุด 4,000 เม็ด ตามบันทึกคำให้การ ต่อมาเจ้าพนักงานจับกุมนายชะลอได้ นายชะลอให้การว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ไปเอาเมทแอมเฟตามีนที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มาจำหน่ายที่จังหวัดกระบี่หลายครั้ง รวมทั้งขายให้จำเลยที่ 1 ตามบันทึกคำให้การ เห็นว่า พันตำรวจตรีสุพจน์ จ่าสิบตำรวจโกศลและสิบตำรวจเอกเอกลักษณ์พยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการไปตามอำนาจหน้าที่ โดยไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าจะเป็นการกระทำเพื่อกลั่นแกล้งปรักปรำผู้ใด เมื่อพยานทั้งสามจับกุมนายสุภาษิตได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางและสอบถามเรื่องราวจากนายสุภาษิตถึงที่มาของเมทแอมเฟตามีนของกลาง นายสุภาษิตจึงได้ให้การซัดทอดจำเลยที่ 1 และนางสาวจำปี โดยนางสาวจำปีซึ่งถูกจับกุมในเวลาต่อมาให้การรับว่าได้ร่วมกับนายสุภาษิตจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางจริงตามบันทึกการจับกุมนั้น ทำให้เห็นได้ว่าคำให้การของนายสุภาษิตมีความน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้นายสุภาษิตกับนางสาวจำปียังได้เขียนข้อความบอกเล่าเรื่องราวถึงที่มาของเมทแอมเฟตามีนของกลางด้วยลายมือของตนเองอีกว่าเป็นของจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 2 กับนายชะลอเป็นผู้นำมาส่งตามบันทึกคำรับสารภาพชั้นสอบสวนนางสาวจำปียังคงให้การยืนยันว่า จำเลยที่ 1 รับเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลยที่ 2 กับนายชะลอหลายครั้งแล้ว ครั้งสุดท้ายเมื่อ 4 ถึง 5 เดือน ที่ผ่านมา จำเลยที่ 2 กับนายชะลอนำเมทแอมเฟตามีนมาส่งให้ 4,000 เม็ด เมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นจำนวนที่เหลืออยู่ตามบันทึกคำให้การ ส่วนนายชะลอที่ถูกจับกุมได้ในภายหลังก็ได้เขียนข้อความรับสารภาพด้วยลายมือของตนเองเช่นกันว่า ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ไปเอาเมทแอมเฟตามีนจากอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มาส่งให้แก่จำเลยที่ 1 ประมาณ 3 ถึง 4 ครั้งแล้ว โดยนายชะลอได้ค่าจ้างจากจำเลยที่ 2 ครั้งละ 10,000 บาท ถึง 40,000 บาท ตามบันทึกคำรับสารภาพชั้นสอบสวน นายชะลอยังคงให้การยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าวตามบันทึกคำให้การ คำให้การของนายสุภาษิต นางสาวจำปีและนายชะลอทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนล้วนสอดคล้องต้องกัน แม้เป็นพยานบอกเล่าและพยานซัดทอดระหว่างผู้กระทำความผิดก็ตาม แต่การที่นายสุภาษิต นางสาวจำปี และนายชะลอให้การไปดังกล่าวเพียงเป็นการบอกเล่าเรื่องราวถึงที่มาของเมทแอมเฟตามีนของกลาง มิใช่กระทำไปโดยมุ่งต่อผลเพื่อให้ตนเองพ้นผิดแล้วให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดเพียงลำพัง นอกจากนั้นนายสุภาษิตกับนางสาวจำปียังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจำเลยที่ 1 โดยนายสุภาษิตเป็นน้องชายและนางสาวจำปีเป็นภริยา จึงไม่มีเหตุผลใดที่ต้องให้การกลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลยที่ 1 พยานบอกเล่าและพยานซัดทอดเช่นนี้ ถือได้ว่ามีลักษณะและแหล่งที่มาซึ่งน่าเชื่อว่าจะสามารถพิสูจน์ความจริงได้ กับมีเหตุผลอันหนักแน่นที่เชื่อได้ว่าเป็นการให้การไปตามความจริง จึงนำมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับนายสุภาษิตและนางสาวจำปีครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลาง จำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้อง
ส่วนจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เพียงร่วมกับนายชะลอนำเมทแอมเฟตามีนจากจังหวัดเชียงใหม่มาส่งขายให้แก่จำเลยที่ 1 โดยในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ จำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องด้วย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมในการมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลาง แต่การที่จำเลยที่ 2 นำเมทแอมเฟตามีนมาส่งขายให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 1 มีไว้จำหน่ายอีกทอดหนึ่งนั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่การที่จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 แม้โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นผู้สนับสนุน ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นผู้สนับสนุนได้เพราะโทษเบากว่าความผิดฐานเป็นตัวการ จึงไม่เป็นการเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง อันจะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับว่า ให้บังคับคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนเป็นเวลาไม่เกินหนึ่งปี ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตา 86 ลงโทษจำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 800,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ในการกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเป็นเวลาไม่เกินหนึ่งปี คำขออื่นให้ยก

Share