แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ทางนำสืบของโจทก์จะได้ความว่า โจทก์คืนเงินให้นาย อ. ครั้งแรกโดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากผู้มีชื่อ ส่วนการสั่งคืนเงินให้จำเลยในครั้งหลังจ่ายเป็นแคชเชียร์เช็คก็ตาม กรณีเป็นเพียงวิธีการสั่งคืนเงินโดยฝากเข้าบัญชีเงินฝากเท่านั้น เงินซึ่งนาย อ. และจำเลยนำมาวางไว้แก่โจทก์ก็เพื่อค้ำประกันการออกหนังสือค้ำประกันให้บริษัท พ. หาใช่เป็นการฝากเงินหรือฝากทรัพย์ไม่ ฉะนั้นการที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องจำเลยให้คืนเงินที่รับไปนั้น เป็นเรื่องที่กล่าวอ้างว่าจำเลยรับเงินไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ กรณีจึงเป็นเรื่องลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 406 มิใช่เรื่องการติดตามเรียกเอาทรัพย์คืนตามมาตรา 1336
ย่อยาว
โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน 174,835.62 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 100,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 174,835.62 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 10,000 บาท
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การฟ้องคดีของโจทก์เป็นเรื่องฟ้องเรียกทรัพย์คืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 หรือเรื่องลาภมิควรได้ เห็นว่า แม้ทางนำสืบของโจทก์จะได้ความว่า โจทก์คืนเงินให้นายอภิชัยครั้งแรกโดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากร้าน เอ.ที.เอ็ม. คอนสตรัคชั่น ส่วนการคืนเงินให้จำเลยในครั้งหลังสั่งจ่ายเป็นแคชเชียร์เช็คก็ตาม กรณีเป็นเพียงวิธีคืนเงินโดยฝากเข้าบัญชีเงินฝากเท่านั้น เงิน 100,000 บาท ซึ่งนายอภิชัยและจำเลยนำมาวางไว้แก่โจทก์ก็เพื่อค้ำประกันการออกหนังสือค้ำประกันให้บริษัทจัดการเกษตรอุตสาหกรรมไทย จำกัด หาใช่เป็นการฝากเงินหรือฝากทรัพย์ไม่ ฉะนั้นการที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องจำเลยให้คืนเงินที่รับไปนั้น เป็นเรื่องที่กล่าวอ้างว่าจำเลยรับเงินไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ กรณีจึงเป็นเรื่องลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 มิใช่เรื่องการติดตามเรียกทรัพย์คืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสองว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์จ่ายเงินจำนวนเดียวกันให้แก่นายอภิชัยแล้ว ต่อมาก็จ่ายให้แก่จำเลยอีกครั้ง เมื่อโจทก์ฟ้องนายอภิชัยเป็นจำเลยให้คืนเงินศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า เงินดังกล่าวเป็นของนายอภิชัย ตามสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยโจทก์ฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2543 ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงคดีย่อมถึงที่สุดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2543 ซึ่งต้องถือว่าโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินนับแต่วันนี้เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2544 เป็นเวลาเกิน 1 ปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ