คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2642/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดมานั้น เป็นเพียงการประมาณราคาตามความเห็นของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยเปรียบเทียบกับราคาทรัพย์สินที่ใกล้เคียงหรือราคาประเมินของทางราชการ ราคาที่ประเมินนี้อาจไม่ตรงกับราคาที่แท้จริงก็ได้ คดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ 37,838,500 บาท ในขณะที่จำเลยอ้างว่าทรัพย์มีราคา 51,150,000 บาท ราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินกับราคาที่จำเลยอ้างจึงไม่ได้แตกต่างกันมากนัก และราคาที่ประเมินไว้ก็ไม่ใช่ราคาที่แท้จริง ไม่มีหลักเกณฑ์ใดผูกมัดว่าการขายทอดตลาดต้องเป็นไปตามราคาที่ประเมินไว้ ขึ้นอยู่กับผู้เข้าราคาว่าจะให้ราคาสูงสุดเพียงใด จึงถือไม่อาจร้องขอต่อศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง เพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์ที่ยึดใหม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 9,567,899.82 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 9,530,300.82 บาท นับจากวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 คือที่ดินโฉนดเลขที่ 683 และ 684 ตำบลคลองข่อย (บ้านแหลม) อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์สินดังกล่าวเป็นเงินรวม 37,838,500 บาท
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดต่ำกว่าความเป็นจริงโดยราคาทรัพย์สินดังกล่าวควรมีราคาประเมิน 51,150,000 บาท การดำเนินการของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นการไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์สินดังกล่าวใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำร้องของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีสิทธิร้องขอต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง เพื่อให้เจ้าหนี้พนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดใหม่หรือไม่ เห็นว่า การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดมานั้นเป็นเพียงการประมาณราคาตามความเห็นของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยเปรียบเทียบกับราคาทรัพย์สินที่ใกล้เคียงหรือราคาประเมินของทางราชการ ราคาที่ประเมินนี้อาจไม่ตรงกับราคาที่แท้จริงก็ได้ ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ 37,838,500 บาท ในขณะที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 อ้างว่าทรัพย์สินดังกล่าวมีราคา 51,150,000 บาท ราคาที่เจ้าพนักงานบับคับคดีประเมินกับราคาที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 อ้างจึงไม่ได้แตกต่างกันมากนัก และราคาประเมินไว้ก็ไม่ใช่ราคาที่แท้จริงไม่มีหลักเกณฑ์ใดผูกมัดว่าการขายทอดตลาดจะต้องเป็นไปตามราคาที่ประเมินไว้ขึ้นอยู่กับผู้เข้าสู้ราคาว่าจะให้ราคาสูงสุดเพียงใด ดังนี้ กรณีจึงถือไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่อาจร้องขอต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง เพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดใหม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share