คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 982/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีความผิดอันยอมความได้ปรากฏจากคำให้การชั้นสอบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจที่จำเลยอ้างเป็นพยานว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้นำโจทก์ไปพบจำเลยและต่างได้พูดจากันจนเป็นที่พอใจแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ติดใจเอาความต่อกัน ในชั้นพิจารณาโจทก์แถลงต่อศาลว่า. ตามข้อตกลงที่จะเลิกคดีมีเงื่อนไขว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 จะต้องไม่คุกคามพระในวัดต่อไปแต่หลังจากนั้นได้มีการรุกรานอีกเป็นการผิดข้อตกลงดังนี้ แสดงว่าโจทก์และจำเลยต่างตกลงยอมความกันโดยตรงเลิกคดีกันแล้วสิทธินำคดีมาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ตั้งแต่วันที่ยอมความกัน
ในการยอมความที่มีเงื่อนไข หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข โจทก์จะต้องดำเนินคดีกับจำเลยเป็นคดีใหม่แต่หามีสิทธิรื้อฟื้นคดีที่ยุติแล้วมาฟ้องจำเลยอีกไม่ เพราะสิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ระงับไปแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันข่มขืนใจโจทก์ โดยจำเลยที่ 5 เรียกโจทก์ให้ไปพบจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 4 เรียกโจทก์ให้ไปพบจำเลยที่ 1 และพูดขู่ว่าถ้าไม่ไปจะเจ็บตัว โจทก์จึงจำต้องยอมไปพบจำเลยที่ 1 ที่วัดผ่องพลอยวิริยารามแล้วจำเลยที่ 1 ข่มขืนใจโจทก์ให้ขึ้นรถยนต์ไปวัดธรรมมงคล ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาส โดยมีจำเลยทั้งห้าควบคุมโจทก์ไป และจำเลยที่ 1 ได้สั่งให้จำเลยที่ 3เอาโซ่ล่ามโจทก์ไว้ที่วัดธรรมมงคล ทำให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดธรรมมงคลและวัดผ่องพลอยวิริยาราม และเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ให้ความอนุเคราะห์เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยแก่โจทก์ และละเว้นการช่วยทุกข์บำรุงสุข ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสตามพระธรรมวินัยโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 91, 309,310, 157

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วประทับฟ้องเฉพาะข้อกล่าวหาจำเลยที่ 1ที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 นอกนั้นให้ยก ซึ่งต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ที่ 3 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ได้ 2 ปากแล้วศาลสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำให้การชั้นสอบสวนในสำนวนการสอบสวนที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 อ้างเป็นพยานโจทก์แถลงว่า ตามข้อตกลงที่จะเลิกคดีนี้มีเงื่อนไขอยู่ คือ เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคลและวัดผ่องพลอยวิริยาราม (จำเลยที่ 1 ที่ 4) จะต้องไม่คุกคามพระในวัดผ่องพลอยวิริยารามต่อไป แต่ปรากฏว่าหลังจากตกลงแล้วได้มีพระจากวัดธรรมมงคลมารุกรานอีก ดังที่ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวน โจทก์เห็นว่าฝ่ายจำเลยผิดข้อตกลงจึงดำเนินคดีนี้

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อโจทก์และจำเลยต่างตกลงยุติข้อพิพาทต่อกันแล้ว แม้ต่อมาจะปรากฏว่าจำเลยผิดเงื่อนไขมิได้ปฏิบัติตามข้อตกลง ก็ไม่ทำให้โจทก์มีสิทธิรื้อฟื้นคดีที่ยุติลงแล้วมาฟ้องจำเลยอีก เพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่พอวินิจฉัย พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่

จำเลยที่ 1 ที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในเรื่องการยอมความปรากฏในคำให้การชั้นสอบสวนของพันตำรวจโทธนู หอมหวน ในสำนวนการสอบสวนว่า พันตำรวจโทธนูกับพวกนำโจทก์กับพวกไปพบจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่วัดธรรมมงคล โจทก์และจำเลยต่างพูดจากันจนเป็นที่พอใจแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ติดใจเอาความต่อกัน คำให้การดังกล่าวรวมอยู่ในสำนวนการสอบสวนที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 อ้างเป็นพยานเมื่อศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์ก็แถลงว่า ตามข้อตกลงที่จะเลิกคดีมีเงื่อนไขอยู่คือเจ้าอาวาสวัดธรรมมงคลและวัดผ่องพลอยวิริยารามจะต้องไม่คุกคามพระในวัดผ่องพลอยวิริยารามต่อไป แต่หลังจากตกลงแล้วได้มีพระจากวัดธรรมมงคลมารุกรานอีก ฝ่ายจำเลยผิดข้อตกลงจึงดำเนินคดีนี้ จากคำแถลงดังกล่าวแสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 3 ต่างตกลงยอมความกันโดยตรงเลิกคดีกันแล้ว สิทธิการนำคดีมาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ตั้งแต่วันที่ยอมความกัน แม้จะฟังว่าในการยอมความจะมีเงื่อนไขและจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังที่โจทก์แถลงก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะดำเนินคดีกับจำเลยเกี่ยวกับเรื่องที่พระวัดธรรมมงคลมารุกรานโจทก์เป็นคดีใหม่ โจทก์ไม่มีสิทธิรื้อฟื้นคดีที่จำเลยทำให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกายซึ่งยุติลงแล้วมาฟ้องจำเลยอีก เพราะสิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ระงับไปแล้ว

พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share