คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยมิได้ยื่นก่อนวันนัดสืบพยานไม่น้อยกว่า7 วัน แต่ยื่นในวันนัดสืบพยาน เป็นการขอเพิ่มเติมคำให้การเพื่อโต้แย้งว่า การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ในฐานะเป็นธนาคารพาณิชย์ไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประกาศธนาคารโจทก์ตามข้อกำหนดในประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย อันเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ฯ มาตรา 14(2) ที่บัญญัติให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบต่อการลงทุนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ฯ บัญญัติให้ธนาคารพาณิชย์ที่ฝ่าฝืนมีความผิดทางอาญาต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 300,000 บาท ข้ออ้างของจำเลยที่ขอเพิ่มเติมคำให้การดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ส่วนที่จำเลยขอเพิ่มเติมคำให้การว่า การชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 แก่โจทก์ตกเป็นพ้นวิสัย เพราะหลังจากทำสัญญาทรัสต์รีซีทแล้ว อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อแลกเป็นเงินบาทต้องใช้เงินบาทสูงขึ้นมาก และอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ก็เพิ่มขึ้นมากจนจำเลยที่ 1 มีหนี้เพิ่มสูงกว่าความเป็นจริงทั้งนี้เนื่องจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจอันเป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชอบกับเพิ่มเติมเป็นคำให้การว่า หนี้เดิมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ระงับไปแล้วด้วยการแปลงหนี้ใหม่เป็นหนี้การซื้อขายเงินตราต่างประเทศแล้ว และสัญญาค้ำประกันกับสัญญาจำนองตามคำฟ้องเป็นการค้ำประกันและจำนองประกันการชำระหนี้ประเภทอื่นไม่ได้ประกันการชำระหนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสต์รีซีท ล้วนเป็นเรื่องที่จำเลยยกข้อเท็จจริงใหม่มาเพิ่มเติมเป็นคำให้การเพื่อปฏิเสธความรับผิด ซึ่งข้อเท็จจริงที่อ้างเป็นเหตุไม่ต้องรับผิดดังกล่าวแม้เป็นเหตุที่อาจมีผลต่อคู่สัญญาบางรายได้ แต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด จึงไม่ใช่การขอแก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงิน 555,764,809 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 420,048,118.20 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและบังคับจำนองทรัพย์จำนองกับบังคับทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งหกด้วย

จำเลยทั้งหกให้การขอให้ยกฟ้อง

ในวันนัดสืบพยานครั้งแรกจำเลยทั้งหกยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การเดิมซึ่งมี 11 ข้อ โดยขอเพิ่มเติมเป็นข้อที่ 12 ถึง 15 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งหกมิได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การภายในระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 และไม่มีเหตุที่จำเลยทั้งหกไม่อาจยื่นได้ก่อนนั้น หรือเป็นการแก้ไขในเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย จึงไม่อนุญาตให้ยกคำร้อง

จำเลยทั้งหกอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า”มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกเพียงว่า คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยทั้งหกซึ่งมิได้ยื่นก่อนวันนัดสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน แต่ยื่นในวันนัดสืบพยานนั้นเป็นการขอแก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนอันเป็นเหตุให้จำเลยทั้งหกสามารถยื่นคำร้องในวันดังกล่าวได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 หรือไม่ เห็นว่า ที่จำเลยทั้งหกขอเพิ่มเติมคำให้การเป็นข้อที่ 13 ว่า ดอกเบี้ยที่โจทก์คิดคำนวณในอัตราต่าง ๆ ตามคำฟ้องเพื่อเรียกร้องจากจำเลยทั้งหกเป็นการเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราตามประกาศธนาคารโจทก์ โดยขณะทำสัญญาโจทก์ประกาศอัตราดอกเบี้ยที่จะเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 15.50 และ 16.50 ต่อปี แต่โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ในอัตราร้อยละ 18.50 และ 19.50 ต่อปี อันเป็นการขัดต่อกฎหมายจึงเป็นโมฆะนั้น พอจะเข้าใจได้ว่าจำเลยทั้งหกขอเพิ่มเติมคำให้การเพื่อโต้แย้งว่า การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ในฐานะเป็นธนาคารพาณิชย์ไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประกาศธนาคารโจทก์ ตามข้อกำหนดในประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย อันเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 มาตรา 14(2) ที่บัญญัติให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบต่อการลงทุนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้ธนาคารพาณิชย์ที่ฝ่าฝืนมีความผิดทางอาญาต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 300,000 บาท ข้ออ้างของจำเลยทั้งหกที่ขอเพิ่มเติมคำให้การข้อนี้มาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ชอบที่จะรับไว้ได้ตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ส่วนที่จำเลยทั้งหกขอเพิ่มเติมคำให้การเป็นข้อที่ 12 ที่ว่าการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 แก่โจทก์ตกเป็นพ้นวิสัย เพราะหลังจากทำสัญญาทรัสต์รีซีทแล้วอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อแลกเป็นเงินบาทต้องใช้เงินบาทสูงขึ้นมาก และอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ก็เพิ่มขึ้นมากจนจำเลยที่ 1 มีหนี้เพิ่มสูงกว่าความเป็นจริง ทั้งนี้เนื่องจากวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจอันเป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชอบก็ดี กับเพิ่มเติมเป็นคำให้การข้อที่ 14 และ 15 ว่า หนี้เดิมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ระงับไปแล้วด้วยการแปลงหนี้ใหม่เป็นหนี้การซื้อขายเงินตราต่างประเทศแล้วก็ดี และสัญญาค้ำประกันกับสัญญาจำนองตามคำฟ้องเป็นการค้ำประกันและจำนองประกันการชำระหนี้ประเภทอื่น ไม่ได้ประกันการชำระหนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสต์รีซีทก็ดีนั้น ล้วนเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งหกยกข้อเท็จจริงใหม่มาเพิ่มเติมเป็นคำให้การเพื่อปฏิเสธความรับผิดซึ่งข้อเท็จจริงที่อ้างเป็นเหตุไม่ต้องรับผิดดังกล่าวแม้เป็นเหตุที่อาจมีผลต่อคู่สัญญาบางรายได้ก็ตาม แต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใดจึงไม่ใช่การขอแก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะรับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมตามบทกฎหมายดังกล่าวไว้ข้างต้นได้แต่อย่างใด ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งยกคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยทั้งหกทุกข้อมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยทั้งหกเฉพาะที่ขอเพิ่มเติมเป็นคำให้การข้อที่ 13 ไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง

Share