แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม่โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลาตราบเท่าที่โรงงานแปรรูปไม้นั้นยังตั้งอยู่ และผู้ตั้งโรงงานยังไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้ตั้งโรงงานในช่วงเวลาดังกล่าวจึงเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด เมื่อจำเลยไปช่วยก่อสร้างและรับจ้างทำงานในโรงงานดังกล่าวแสดงว่าจำเลยทำงานมานานประกอบกับพฤติการณ์ที่จำเลยหลบหนีจึงฟังได้ว่าจำเลยรู้ว่าโรงงานนั้นตั้งขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การที่จำเลยทำงานเป็นลูกจ้างในโรงงานโดยทำไม้วงกบประตูให้แก่ ค. นายจ้างที่จะนำไปสร้างบ้านย่อมเป็นการช่วยเหลือ ค. อันเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของ ค. แล้วและเมื่อจำเลยเป็นผู้แปรรูปไม้สักของกลาง จำเลยย่อมเป็นผู้ดูแลรักษาไม้นั้นเพื่อมอบให้แก่ ค. จำเลยจึงมีความผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองอีกกระทงหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันตั้งโรงงานแปรรูปไม้ขึ้นที่บ้านไม่มีเลขที่ หมู่ที่ 2 ตำบลสบปราบ อำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง โดยใช้เครื่องมือเครื่องจักรกลคือ เครื่องไสไม้พร้อมมอเตอร์ 1 ชุด เครื่องเจาะไม้พร้อมมอเตอร์ 1 ชุดเครื่องซอยไม้พร้อมมอเตอร์ 2 ชุด เครื่องรีดไม้พร้อมมอเตอร์ 2 ชุด เครื่องปรับไม้พร้อมมอเตอร์ 1 ชุด เครื่องทำคิ้วไม้พร้อมมอเตอร์ 2 ชุด เครื่องกลึงพร้อมมอเตอร์ 1 ชุด เพื่อทำการแปรรูปไม้ให้เปลี่ยนรูปและขนาดไปจากเดิมโดยไม่ได้รับอนุญาต กับจำเลยกับพวกร่วมกันแปรรูปไม้สักซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. โดยใช้เครื่องมือเครื่องจักรกลดังกล่าวทำให้ไม้สักที่แปรรูปมาแล้วเปลี่ยนรูปและขนาดไปจากเดิมเป็นไม้จำนวน 149 แผ่น/เหลี่ยมปริมาตร 1.45 ลูกบาศก์เมตร เพื่อการค้าภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยกับพวกร่วมกันมีไม้สักแปรรูปจำนวนและปริมาตรดังกล่าวไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุทั้งหมดเกิดที่ตำบลสบปราบ อำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง ตามวันและเวลาดังกล่าวมีผู้ประสงค์เงินสินบนนำจับนำเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยเครื่องมือเครื่องจักรกลที่จำเลยกับพวกร่วมกันใช้ในการตั้งโรงงานแปรรูปไม้และไม้สักแปรรูปจำนวน 149 แผ่น/เหลี่ยม ปริมาตร 1.45ลูกบาศก์เมตร ที่จำเลยได้มาและมีไว้เป็นความผิดดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 7, 48, 50, 73, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ริบของกลางและจ่ายเงินสินบนแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 7 วรรคหนึ่ง, 48 วรรคหนึ่ง, 73 วรรคสอง (1), 74, 74 ทวิ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86 ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานสนับสนุนตั้งโรงงานแปรรูปไม้ จำคุก 8 เดือน ฐานแปรรูปไม้ จำคุก 2 ปีฐานมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครอง จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 4 ปี 8 เดือน ข้อนำสืบของจำเลยในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 6 เดือน ริบของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานร่วมกันแปรรูปไม้สักและฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี 8 เดือน ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสี่แล้ว คงจำคุก 2 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงชั้นฎีกาฟังได้ในเบื้องต้นว่า ก่อนเกิดเหตุมีผู้ลักลอบใช้เครื่องมือเครื่องจักรกลของกลางตั้งโรงงานแปรรูปไม้ขึ้นที่เพิงพักไม่มีเลขที่ ข้างวัดหลวงสบปราบ หมู่ที่ 2 ตำบลสบปราบ อำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง ท้องที่ซึ่งเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทำงานเป็นลูกจ้างผู้ตั้งโรงงาน วันเกิดเหตุนายสุรศักดิ์ คูณทวี เจ้าพนักงานป่าไม้สำนักงานป่าไม้อำเภอสบปราบกับพวกจับกุมจำเลยได้ในขณะจำเลยกำลังใช้เครื่องมือเครื่องจักรกลของกลางแปรรูปไม้สัก โดยมีไม้สักแปรรูป 149 แผ่น/เหลี่ยม ปริมาตร 1.45 ลูกบาศก์เมตรของกลางวางกระจัดกระจายอยู่ในโรงงานดังกล่าว และจำเลยจะวิ่งหลบหนีแต่ถูกนายสุรศักดิ์กับพวกจับกุมไว้ได้ที่จำเลยฎีกาว่า การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดอันจะเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จะต้องเป็นการกระทำก่อนหรือขณะเกิดการกระทำความผิด จำเลยเข้าทำงานเป็นลูกจ้างทำการแปรรูปไม้ไปตามคำสั่งของผู้ตั้งโรงงานหลังจากการตั้งโรงงานแปรรูปไม้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และจำเลยมิได้เกี่ยวข้องกับการจัดการในกิจการของโรงงานแปรรูปไม้ดังกล่าวการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการสนับสนุนความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเห็นว่าความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลาตราบเท่าที่โรงงานแปรรูปไม้นั้นยังตั้งอยู่ และผู้ตั้งโรงงานยังไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้ตั้งโรงงานในช่วงเวลาดังกล่าวจึงเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด ได้ความจากคำเบิกความของนายเมืองแก้ว อินปันบุตร และนายจรัล ศรีวิชัย พยานจำเลยว่า นายคำ สารธิ ซึ่งจำเลยนำสืบว่าเป็นผู้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้ที่เกิดเหตุประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างบ้านทุกครั้งที่นายคำไปก่อสร้างบ้านให้บุคคลอื่นนายคำจะว่าจ้างให้จำเลยไปช่วยก่อสร้างด้วยและพยานเคยเห็นจำเลยรับจ้างทำงานในโรงงานแปรรูปไม้ที่เกิดเหตุให้นายคำ แสดงว่าจำเลยทำงานดังกล่าวมานาน ประกอบกับพฤติการณ์ที่จำเลยจะหลบหนีฟังได้ว่าจำเลยรู้ว่าโรงงานแปรรูปไม้ดังกล่าวเป็นโรงงานที่ตั้งขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การที่จำเลยยอมทำงานเป็นลูกจ้างแปรรูปไม้สักของกลางซึ่งจำเลยและนายจรัลพยานจำเลยเบิกความว่าเป็นไม้วงกบประตูหน้าต่างที่นายคำจะนำไปใช้สร้างบ้าน ย่อมเป็นการช่วยเหลือนายคำการกระทำของจำเลยจึงเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของนายคำ ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าจำเลยมีเจตนาเพียงแปรรูปไม้สักของกลางมิได้มีเจตนาที่จะยึดถือไม้ดังกล่าวไว้ไม่ว่าจะเพื่อตนเองหรือเพื่อนายคำ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีไม้สักของกลางไว้ในครอบครอง เป็นอุทธรณ์ในข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ชอบจะวินิจฉัยให้จำเลยนั้น เห็นว่า ความผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองเป็นความผิดที่จะต้องกระทำโดยเจตนา จำเลยให้การปฏิเสธและนำสืบต่อสู้ คดีจึงมีประเด็นว่าจำเลยครอบครองไม้สักแปรรูปของกลางหรือไม่ และจำเลยกระทำโดยมีเจตนาหรือไม่ อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่รับวินิจฉัยนั้นไม่ถูกต้อง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นและเมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแล้วศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียเลยว่าจำเลยมีเจตนาครอบครองไม้สักแปรรูปของกลางหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเป็นลูกจ้างนายคำรับจ้างนายคำปลูกสร้างบ้านและแปรรูปไม้อยู่ในโรงงานเกิดเหตุมานาน ไม้สักแปรรูปของกลางเป็นไม้ที่จำเลยเป็นผู้แปรรูปเพื่อจะนำไปใช้ปลูกสร้างบ้านอันเป็นกิจการของนายคำ และจำเลยเบิกความว่าขณะที่จำเลยแปรรูปนั้นนายคำป่วยอยู่ที่บ้านนายคำจำเลยย่อมจะต้องเป็นผู้ดูแลรักษาไม้ที่ได้จากการแปรรูปไว้เพื่อมอบให้แก่นายคำพฤติการณ์ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาครอบครองไม้สักแปรรูปของกลาง จำเลยจึงมีความผิด
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษ เห็นว่า ไม้ที่จำเลยแปรรูปและไม้แปรรูปของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นไม้สัก มีจำนวนถึง 149 แผ่น/เหลี่ยม ปริมาตร1.45 ลูกบาศก์เมตร นับว่าเป็นไม้จำนวนมาก ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนให้มีผู้ตัดไม้ทำลายป่าซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารและเป็นทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่าประมาณราคาไม่ได้ แม้จำเลยจะเป็นเพียงลูกจ้างของนายคำแต่ก็เพื่อการค้าไม่สมควรรอการลงโทษ ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้จำเลยนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน