แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญาของศาลคดีเด็กและเยาวชนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง มิได้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ไม่มีเจตนาฆ่าเพราะไม่ปรากฏมูลเหตุจูงใจว่าจำเลยยิงผู้ตายเพราะเหตุใดเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1236/2510)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2512 เวลากลางวัน จำเลยได้กระทำผิดหลายกระทง คือ บังอาจร่วมกันมีอาวุธปืน 1 กระบอกไว้ในความครอบครองไม่รับอนุญาตและบังอาจร่วมกันพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร แล้วได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนนั้นยิงนายเม่งกุ่ย แซ่เฮ้ง นายสมคิด แซ่ลี้ นายวันชัย ปัญจโรจนากุลและนายฮังเม็ง แซ่เบ๊ โดยเจตนาฆ่า นายเม่งกุ่ย และนายสมคิดถึงแก่ความตาย ส่วนผู้ถูกยิงอีก 3 คนไม่ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลมหาพฤฒาราม อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 371, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 3
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์ได้ 2 คนจำเลยที่ 1 กลับให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4)พ.ศ. 2510 มาตรา 3 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288ซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา 91 วางโทษโดยลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม ตามมาตรา 76 แล้ว จำคุก 12 ปี ลดโทษตามมาตรา 78 ให้อีกหนึ่งในสาม คงจำคุก 8 ปี ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง จนกว่าจำเลยจะมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2506 มาตรา 9 ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 3 ให้ลงโทษฐานมีอาวุธปืนไม่รับอนุญาตซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา 91 อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 จึงให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางมีกำหนด 50 วัน จำเลยที่ 2 ถูกควบคุมตัวมาพอตามกำหนดแล้ว ให้ปล่อยตัวจำเลยที่ 2 ไป
จำเลยที่ 1 ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ปืนของกลางเป็นปืนไม่รับอนุญาตและเป็นของใช้กระทำผิดให้ริบ
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะฎีกาข้อ 2 ก.นอกนั้นไม่รับเพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยที่ 1 ไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง มิได้ลงโทษจำเลยที่ 1 โดยจำคุกเกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1236/2510 คดีระหว่างพนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ นายตู่หรืออานนท์ อิ่มละออ หรือ เอี่ยมละออ จำเลย
ฎีกาข้อ 2 ก. ของจำเลยที่ 1 สรุปความได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำที่ไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย เพราะไม่ปรากฏมูลเหตุจูงใจว่าจำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายเพราะเหตุใด นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนที่ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้ก็ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ให้ไม่ได้
พิพากษาให้ยกฎีกาจำเลยที่ 1