คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2631/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยเรียกรับเอาเงินจาก ม. และ น. สองครั้งเพื่อช่วยเหลือให้ ส.และพ. บุตรของบุคคลทั้งสองสอบคัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนโรงเรียนพลตำรวจได้ โดยจำเลยจะนำเงินไปเป็นค่าตอบแทนเจ้าพนักงานและแพทย์ผู้มีหน้าที่ในการสอบคัดเลือกและตรวจรับบุคคลเข้าเป็นนักเรียนพลตำรวจดังกล่าว เป็นการกระทำครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 แล้วที่จำเลยไม่ได้เป็นกรรมการสอบคัดเลือก ไม่ได้แจ้ง ม. และ น.ว่าจะช่วยเหลือบุตรของบุคคลทั้งสองให้เข้าเป็นนักเรียนพลตำรวจด้วยวิธีใด และไม่ได้แจ้งแก่บุคคลทั้งสองว่าเจ้าพนักงานที่จำเลยจะไปจูงใจเป็นใคร ระดับใด หาใช่สาระสำคัญที่จะทำให้การกระทำของจำเลยกลายเป็นไม่ครบองค์ประกอบความผิดไม่ เมื่อจำเลยรับเงินดังกล่าวไว้รวมสองครั้ง ต่างวาระกันจึงเป็นการกระทำความผิดสองกรรม.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 143, 91 รวม 2 กระทง วางโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี รวมจำคุก 4 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 2 กระทงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายโดยฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่า เมื่อวันที่7 พฤศจิกายน 2529 เวลากลางวัน นายมนัส ผมหอม กับนายเนียร อยู่แก้วต้องการให้นายสายชล ผมหอม และนายพนม อยู่แก้ว บุตรของตนเข้าโรงเรียนพลตำรวจภูธร 7 จึงไปหาจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกองกำกับการตำรวจสันติบาลให้ช่วยเหลือและมอบเงินคนละ 15,000 บาทให้แก่จำเลย จำเลยรับจะติดต่อวิ่งเต้นให้และได้รับเงินจำนวนดังกล่าวโดยจำเลยทำเป็นสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 30,000 บาท มอบให้นายมนัส ไว้ต่อมาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2530 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดหลังจากนายสายชลและนายพนมสอบข้อเขียนได้แล้ว จำเลยเรียกเงินจากนายมนัส และนายเนียร อีกคนละ 5,000 บาท โดยบันทึกการกู้ยืมเงินเพิมเติ่ม อีก10,000 บาท ไว้ที่หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน เพื่อเอาไปให้แพทย์ผู้เป็นกรรมการตรวจโรคให้ผ่านการตรวจโรค ปรากฏในภายหลังว่านายสายชลและนายพนมไม่สามารถสอบเข้าโรงเรียนพลตำรวจดังกล่าวได้ นายมนัส และนายเนียร ได้ ทวงเงินคืนจากจำเลยและร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนจำเลยจึงยอมคืนเงินให้จำนวน 24,000 บาท และออกเช็คจำนวน 16,000 บาทครั้งถึงกำหนดตามเช็ค บุคคลทั้งสองนำเช็คไปรับเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่าเงินไม่มี นายมนัส และนายเนียร กับจำเลยตกลงยอมความกัน พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่จำเลยเรียกรับเอาเงินจำนวน30,000 บท และจำนวน 10,000 บาท จากนายมนัส กับนายเนียร เพื่อช่วยเหลือให้นายสายชล และนายพนมบุตรของบุคคลทั้งสองสอบคัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนโรงเรียนพลตำรวจภูธร 7 โดยจำเลยจะนำเงินไปเป็นค่าตอบแทนเจ้าพนักงานและแพทย์ผู้มีหน้าที่ในการสอบคัดเลือกและตรวจรับบุคคลเข้าเป็นนักเรียนพลตำรวจดังกล่าว เป็นการกระทำครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 แล้ว การที่จำเลยไม่ได้เป็นกรรมการสอบคัดเลือกไม่ได้แจ้งแก่นายมนัส และนายเนียร ว่าจะช่วยเหลือบุตรของบุคคลทั้งสองให้เข้าเป็นนักเรียนพลตำรวจด้วยวิธีใด และไม่ได้แจ้งแก่บุคคลทั้งสองว่า เจ้าพนักงานที่จำเลยจะไปจูงใจเป็นใคร ระดับใด หาใช่สาระสำคัญที่จะทำให้การกระทำของจำเลยซึ่งครบองค์ประกอบในความผิดดังกล่าวอยู่แล้วกลายเป็นไม่ครบองค์ประกอบความผิดไปดังที่จำเลยฎีกาไม่ และเมื่อจำเลยรับเงินจากนายมนัส และนายเนียร รวม 2 ครั้ง ต่างวาระกันการกระทำผิดของจำเลยจึงเป็น 2 กรรม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ศาลเรียงกระทงลงโทษจำเลยได้
พิพากษายืน.

Share