คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 305/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประเด็นว่าบ้านพิพาทปลูกสร้างลงไว้ในที่ดินของผู้ร้องที่ 2ในลักษณะถาวร เป็นส่วนควบของที่ดินจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองนั้น เมื่อผู้ร้องมิได้ยกประเด็นขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทั้งประเด็นข้อนี้ก็มิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจาก โจทก์ฟ้องให้จำเลบยชำระหนี้เงินยืมศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 78,125 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีนำยึดบ้านเลขที่ 112 หมู่ที่ 1 ตำบลเขาแก้ว อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาทและเสาโทรทัศน์ 3 ท่อนพร้อมแผง 4 แผง
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทั้ง 2 รายการเป็นทรัพย์สินของผู้ร้องทั้งสองขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลย โดยเป็นทรัพย์ที่จำเลยกับสามีทำมาหาได้ระหว่างสามรส ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ทางพิจารณาผู้ร้องทั้งสองนำสืบว่าผู้ร้องเป็นสามีภรรยากัน มีบุตรด้วยกันรวม 4 คน จำเลยเป็นบุตรสาวคนโตและได้สมรสกับนายสมพงษ์สอนสวรรค์ เมื่อประมาณ 14 ปีมานี้ โดยอยู่กินกับผู้ร้องทั้งสองมาประมาณ 6 ปีจึงได้มีการปลูกบ้านพิพาทขึ้นในที่ดินของผู้ร้องที่ 2 ห่างบ้านของผู้ร้องที่ 2 ประมาณ 2 วา เมื่อปลูกสร้างเสร็จแล้วได้ลงชื่อนายสมพงษ์สามีจำเลยเป็นเจ้าของบ้านในทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.5 แล้วจำเลยกับสามีและบุตรได้อยู่อาศัยในบ้านพิพาทส่วนเสาและแผงรับโทรทัศน์ที่โจทก์นำยึดนั้น ขณะที่โจทก์นำยึดทรัพย์ดังกล่าวติดตั้งอยู่ที่บ้านนายเหวย แรงโสมบุตรชายของผู้ร้อง คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดทั้งสองรายการเป็นของผู้ร้องทั้งสองหรือไม่ ที่ผู้ร้องทั้งสองฎีกาว่า บ้านพิพาทปลูกสร้างลงไว้ในที่ดินของผู้ร้องที่ 2 ในลักษณะถาวร เป็นส่วนควบของที่ดินจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองนั้นผู้ร้องทั้งสองมิได้ยกประเด็นข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คงรับวินิจฉัยให้เฉพาะพยานหลักฐานอื่นที่แสดงว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องทั้งสองหรือไม่ผู้ร้องทั้งสองอ้างตนเองเป็นพยานและนำสืบนายเหวย แรงโสม บุตรชายทำนองเดียวกันว่า ผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้ออกเงินปลูกสร้างบ้านพิพาทเพื่อให้จำเลยกับนายสมพงษ์ สอนสวรรค์ ผู้เป็นสามีอยู่อาศัยเพราะบ้านเดิมที่จำเลยกับสามีอาศัยอยู่กับผู้ร้องทั้งสองนั้นคับแคบ นอกจากนี้ยังมีนายทรง ตลับนาค ช่างคนหนึ่งที่ร่วมปลูกสร้างบ้านพิพาทมายืนยันว่าผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้ปลูกสร้างบ้านพิพาท นายสมพงษ์สามีของจำเลยไม่ได้ช่วยปลูกสร้างเพราะไปขับรถไถอยู่ที่โคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ฝ่ายโจทก์คงมีแต่ตัวโจทก์อ้างตนเองเบิกความว่า นายสมพงษ์สามีจำเลย มีอาชีพทำนา มีรายได้พอปลูกบ้านเป็นของตนเองได้ แต่ไม่ได้ความว่า จำเลยกับสามีมีรายได้ประมาณปีละเท่าใด ถึงแม้จะได้ความว่าสามีจำเลยมีอาชีพขับรถไถด้วยแต่ก็ได้ความจากทางนิสืบของผู้ร้องว่า รถไถที่สามีจำเลยขับก็เป็นของผู้ร้องที่ 1 มิใช่รถของตนเองและการทำนาของจำเลยกับสามีก็ทำนาร่วมกับผู้ร้องทั้งสอง โจทก์มิได้นำสืบหักล้างว่าจำเลยกับสามีทำนาของตนเป็นส่วนสัดอย่างไรกับทั้งจำเลยขัดสนเงินจนถึงกับต้องไปหากู้เงินตามฟ้องจากโจทก์ดังนั้นเมื่อได้พิเคราะห์ถึงฐานะและรายได้ระหว่างผู้ร้องทั้งสองกับจำเลยและสามีแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยกับสามีจะมีเงินพอที่จะปลูกสร้างบ้านพิพาทได้ แต่น่าเชื่อว่าผู้ร้องทั้งสองซึ่งมีฐานะดีกว่าจำเลยกับสามีโดยมีอาชีพทำนาถึง 80 ไร่เป็นนาของตนเอง30 ไร่นอกนั้นเช่าจากผู้อื่นและมีรถไถเป็นของตนเองด้วย เป็นผู้ออกเงินสร้างบ้านพิพาทขึ้นเพื่อให้จำเลยกับสามีอาศัยและยังมิได้ยกกรรมสิทธิ์ให้โดยได้ความจากคำของผู้ร้องที่ 1 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านด้วยว่าบ้านพิพาทเดิมมีชานเรือนติดต่อกับบ้านของผู้ร้อง ต่อมาชานเรือนผุจึงได้รื้อออกไป ส่วนพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ที่นำสืบว่า มีชื่อของสามีจำเลยในฐานะเจ้าบ้านลงไว้ในทะเบียนบ้านพิพาทตามเอกสารหมาย จ.5 ก็ดีสามีจำเลยแยกมิเตอร์วัดกระแสไฟฟ้าสำหรับบ้านพิพาทต่างหากจากบ้านผู้ร้องก้ดี หรือการที่สามีจำเลยนำทะเบียนบ้านพิพาทไปกล่าวอ้างกับบุคคบภายนอกว่าตนเป้นเจ้าของบ้านพิพาท รวมทั้งการไปสมัครเป็นลูกค้าของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรโดยอ้างว่าบ้านพิพาทเป้นของตนก็ดี โดยโจทก์มิได้นำตัวจำเลยหรือสามีมายืนยันข้อเท็จจริงว่าใครเป็นผู้สร้างบ้านพิพาทนั้้น ยังไม่พอที่จะฟังว่าจำเลยกับสามีเป็นเจ้าของบ้านพิพาท เพราะผู้ร้องนำสืบยืนยันอยู่ว่า การที่ให้สามีจำเลยไปลงชื่อเป็นเจ้าบ้านในทะเบียนบ้านพิพาทเพราะผู้ร้องทั้งสองต่างมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านหลังเดิมของตนอยู่แล้ว ประกอบกับได้ความจากทางนำสืบของผู้ร้องและโจทก์ตรงกันด้วยว่า ก่อนฟ้องคดีนี้ประมาณ 3 ปี ทั้งจำเลยและสามีได้ย้านจากบ้านหลังนี้ไปโดยไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ไหน ผู้ร้องทั้งสองจึงได้ให้นางสวองบุตรสาวของผู้ร้องกับสามีเข้าอยู่อาศัยในบ้านพิพาทตลอดมาจนบัดนี้ ย่อมเป็นการสนับสนุนให้เชื่อได้ยิ่งขึ้นว่า จำเลยกับสามีไม่ใช่เจ้าของบ้านพิพาท เพราะหากจำเลยกับสามีเป็นเจ้าของบ้านพิพาทจริงแล้ว ก่อนจากไปก็น่าจะมอบหมายการดูแลบ้านพิพาทให้ญาติมิตรช่วยดูแลบ้านพิพาทบ้าง แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับสามีได้ทำเช่นนั้นแต่อย่างใด พยานหลักฐานของผู้ร้องทั้งสองน่าเชื่อว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องทั้งสอง มิใช่บ้านของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าบ้านหลังนี้เป็นของจำเลยกับสามีศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนเรื่องเสาและแผงรับโทรทัศน์ที่โจทก์นำยึดมาด้วยนั้นผู้ร้องทั้งสองนำสืบว่าผู้ร้องเป็นฝ่ายซื้อมาติดตั้งไว้ที่บ้านนายเหวยแรงโสม บุตรของผู้ร้อง โดยแต่เดิมที่บ้านของผู้ร้องมีเครื่องรับโทรทัศน์ขาวดำและมีเสารับโทรทัศน์อยู่แล้วตั้งแต่ยังไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ ต้องปั่นไฟฟ้าใช้เอง ต่อมาในปี 2526 ซึ่งเป็นปีที่มีกระแสไฟฟ้าเข้าไปในหมู่บ้านตำบลเขาแก้วที่ผู้ร้องอยู่ ผู้ร้องจึงได้ซื้อโทรทัศน์สีและซื้อเสาและแผงรับโทรทัศน์ใหม่ติดตั้งไว้ที่บ้านนายเหวยซึ่งห่างจากบ้านผู้ร้องประมาณ 10 วา เพื่อให้ลูกหลานดูถ้าผู้ร้องจะดูโทรทัศน์ก็ไปดูที่บ้านลูก ฝ่ายโจทก์นำสืบลอย ๆ ว่าเดิมเคยเห็นเสาและแผงรับโทรทัศน์ดังกล่าวอยู่ที่บ้านจำเลยนั้นยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะฟังว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของจำเลยหรือสามีจำเลยเพราะได้ความว่าบ้านนายเหวยกับบ้านจำเลยอยู่ติดกันและโจทก์มิได้ให้รายละเอียดว่าจำเลยหรือสามีมีเครื่องรับโทรทัศน์อยู่จริงหรือไม่ ยี่ห้ออะไร ฟังหักล้างพยานผู้ร้องไม่ได้ จึงต้องฟังว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของผู้ร้องมิใช่ของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าเป็นของจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องทั้งสองในข้อนี้ฟังขี้นเช่นกัน”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น.

Share