คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 263/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยซึ่งรวมทั้งที่พิพาทด้วยผู้ร้องยื่นคำร้องว่าที่พิพาทเป็นของผู้ร้องผู้ร้องได้เข้าครอบครองที่พิพาทตั้งแต่วันซื้อขาย โดยสงบเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว หากเป็นความจริงดังที่ผู้ร้องอ้างผู้ร้องก็ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 การที่จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทแต่ผู้เดียวเป็นแต่เพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า ผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และโจทก์ผู้นำยึดทรัพย์ไม่อยู่ในฐานะที่จะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299วรรค 2 ศาลชั้นต้นควรที่จะฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความเสียก่อนไม่ชอบที่จะสั่งงดสืบพยานผู้ร้องและโจทก์แล้วพิพากษายกคำร้อง (อ้างฎีกาที่ 456-458/2491)

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยซึ่งรวมทั้งที่พิพาทด้วย ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องได้ซื้อที่พิพาทและได้เข้าครอบครองตั้งแต่วันซื้อขายโดยสงบ เปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่พิพาทจึงเป็นของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ไม่ใช่ของจำเลย ขอให้ศาลไต่สวนแล้วมีคำสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด

โจทก์ให้การว่า โฉนดที่พิพาทมีชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว ผู้ร้องไม่ได้ซื้อขายที่พิพาทกันจริงและไม่สุจริต ทั้งไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 และไม่อาจใช้ยันโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง หากผู้ร้องจะมีส่วนเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดพิพาทด้วย ผู้ร้องก็อยู่ในฐานะเป็นเจ้าของร่วมกับจำเลย ไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นสอบผู้ร้องแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว สั่งงดสืบพยานผู้ร้องและโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าผู้ร้องอ้างว่ามีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่พิพาทได้ฟ้องจำเลยต่อศาลแล้ว หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่ผู้ร้องอ้าง หรือศาลสั่งว่าผู้ร้องมีสิทธิในคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยขอแสดงกรรมสิทธิ์ ผู้ร้องก็คงจะมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่พิพาท ไม่ชอบที่ผู้ร้องจะมายื่นคำร้องขัดทรัพย์ พิพากษาให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องให้เจ้าพนักงานดำเนินการบังคับคดีต่อไป

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้ร้องอ้างว่ามีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทสองในสามส่วน โดยได้แยกกันครอบครองเป็นส่วนสัดเป็นเวลากว่า 10 ปี จนได้การครอบครองปรปักษ์แล้ว ที่พิพาทจึงมิใช่ของจำเลยแต่ผู้เดียวดังที่ปรากฏในหน้าโฉนดดังนี้ สมควรฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความเสียก่อน พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานผู้ร้องและโจทก์ และพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ผู้ร้องอ้างว่าได้ซื้อที่พิพาทและได้เข้าครอบครองตั้งแต่วันซื้อขาย โดยสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วนั้น หากเป็นความจริงดังที่ผู้ร้องอ้าง ผู้ร้องก็ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทส่วนที่ผู้ร้องครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 การที่จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียว เป็นแต่เพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่าผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และโจทก์ผู้นำยึดทรัพย์ของจำเลย ไม่อยู่ในฐานะที่จะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ดังนัยฎีกาที่ 456-458/2491 ศาลชั้นต้นควรที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปให้สิ้นกระแสความเสียก่อน ไม่ชอบที่จะสั่งงดสืบพยานผู้ร้องและโจทก์ แล้วพิพากษายกคำร้องที่โจทก์ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้ผู้ร้องและโจทก์สืบพยานอีก เป็นการพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 90/2518 นั้น โจทก์มิได้ยกประเด็นข้อนี้ขึ้นว่ากันมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัย

พิพากษายืน

Share