แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าแผนกวิชาทันตกรรมประดิษฐ์ มีหน้าที่บังคับบัญชากิจการทั้งหลายในแผนกและปฏิบัติตามข้อตกลงของคณะกรรมการประจำคณะและข้อบังคับต่างๆ เพื่อให้การสอนและหลักสูตรการสอนดำเนินไปโดยเรียบร้อยตามพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2486 มาตรา 24,25,26 ซึ่งแก้ไขโดย (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2497 มาตรา 14,15 เช่นนี้ การที่จำเลยที่ 1 ออกคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้ช่วยหน่วยวิชาพาเชี่ยลเด็นเจอร์และให้โจทก์รายงานการสอนนักศึกษาปีที่ 2 ในวิชานี้เป็นรายละเอียดและจำนวนชั่วโมงทั้งการบรรยายและปฏิบัติการพร้อมกับผลของการปฏิบัติงานทางด้านคลีนิคของนิสิตปีที่ 4 มายังจำเลยที่ 1 ภายในวันที่กำหนด จึงเป็นการสั่งเกี่ยวกับการบังคับบัญชากิจการทั้งหลายในแผนกของจำเลยที่ 1 มิใช่เป็นการวางระเบียบการภายในแผนกวิชาหรือการอื่นอันเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการประจำคณะที่จะต้องเสนอต่อสภามหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย พ.ศ.2486 มาตรา 22 ซึ่งแก้ไขโดย (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2497 มาตรา 14 การที่โจทก์บันทึกโต้แย้งว่าไม่ยอมรับทราบคำสั่ง ไม่มีอะไรให้อีกแล้ว และไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น แสดงว่าโจทก์จงใจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 อันเป็นการกระทำผิดวินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2497มาตรา 71 วรรคสอง การที่จำเลยที่ 1 รายงานต่อคณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์เหนือจำเลยที่ 1 ขึ้นไป เพื่อให้ลงโทษโจทก์ จึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนฯ มาตรา 93 ทั้งพยานหลักฐานของโจทก์ก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ออกคำสั่ง (ดังกล่าวตอนต้น)เพื่อแกล้งโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
บ.รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐมีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่ 3, ที่ 4 และที่ 5 เป็นกรรมการสอบสวนโจทก์ทางวินัย จำเลยที่ 3, ที่ 4, ที่ 5 สอบสวนแล้วเสนอความเห็นว่าโจทก์ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาสมควรลงโทษตัดเงินเดือน บ.เห็นชอบตามข้อเสนอของปลัดทบวงที่ให้ลงโทษโจทก์ตามที่คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาแล้ว แต่ บ.พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีเสียก่อน จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นรัฐมนตรีต่อจาก บ.จึงออกคำสั่งลงโทษโจทก์ ตามความเห็นของคณะกรรมการ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 3, ที่ 4 และที่ 5 ก็เป็นการเสนอความเห็นจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน เมื่อฟังไม่ได้ว่าเสนอความเห็นเพื่อเจตนาแกล้งโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ 3, ที่ 4และที่ 5 จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ออกคำสั่งให้ตัดเงินเดือนโจทก์ทั้งๆ ที่ทราบแล้วว่าโจทก์มิได้กระทำผิดดังที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียน เช่นนี้จะมาอุทธรณ์ฎีกาว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัยหาได้ไม่ เพราะไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นข้าราชการพลเรือน สังกัดทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ โดยโจทก์เป็นอาจารย์ในแผนกทันตกรรมประดิษฐ์ คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าแผนกทันตกรรมประดิษฐ์และเป็นผู้บังคับบัญชาโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ จำเลยที่ 3, ที่ 4, ที่ 5 เป็นคณบดีคณะรัฐศาสตร์หัวหน้าแผนกเภสัชเวช คณะเภสัชกรรมศาสตร์ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตามลำดับ เมื่อระหว่างพ.ศ. 2515 ถึง พ.ศ. 2516 จำเลยที่ 1 โดยเจตนาจะกลั่นแกล้งโจทก์นำความเท็จขึ้นร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชากล่าวหาว่าโจทก์ขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมาย จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้นายบุญรอด บัณฑสันต์ ซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐมีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยที่ 3,ที่ 4 และที่ 5 เป็นคณะกรรมการทำการสอบสวนโจทก์ ความจริงโจทก์ไม่เคยกระทำความผิดดังจำเลยที่ 1 ร้องเรียน จำเลยที่ 3, ที่ 4 และที่ 5 กลั่นแกล้งโจทก์โดยสอบสวนอย่างไม่เป็นธรรมและรายงานข้อเท็จจริงอันเป็นความเท็จต่อจำเลยที่ 2 ๆ ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบออกคำสั่งที่ 77/2516 ลงโทษโจทก์ฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาให้ตัดเงินเดือนโจทก์ร้อยละ 10 มีกำหนด 6 เดือน การกระทำของจำเลยทั้งห้าทำให้โจทก์เสียหายถูกตัดเงินเดือนเป็นเงิน 3,144 บาท ไม่ได้รับบำเหน็จประจำปีอย่างน้อย 1 ขั้นตลอดไปจนครบเกษียณอายุเป็นเงิน23,760 บาท และต้องเสียชื่อเสียงและประวัติในการปฏิบัติราชการคิดเป็นเงิน30,000 บาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งที่ 77/2516 เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้จำเลยที่ 2 เพิกถอนคำสั่งเสีย ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันประกาศคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวัน 2 ฉบับติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 วัน โดยให้จำเลยทั้งห้าออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยทั้งห้าใช้ค่าเสียหาย 56,804 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จให้โจทก์
จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้นำความเท็จไปแกล้งกล่าวหาโจทก์ความจริงโจทก์กระทำการขัดคำสั่งและขัดขวางการปฏิบัติงานของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา จำเลยที่ 1 ต้องรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพื่อให้พิจารณาลงโทษทางวินัยจำเลยที่ 2 จึงแต่งตั้งให้จำเลยที่ 3, ที่ 4 และที่ 5 เป็นคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ทางวินัย จำเลยที่ 3, ที่ 4 และที่ 5 สอบสวนพยานหลักฐานแล้วเห็นว่าโจทก์ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่สั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมาย ควรลงโทษตัดเงินเดือนร้อยละ 10 มีกำหนด 6 เดือน นายบุญรอดบิณฑสันต์ รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐในขณะนั้นเห็นชอบด้วยแต่ต่อมานายบุญรอดพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐจำเลยที่ 2 ได้รับตำแหน่งแทนจึงลงนามในคำสั่งตัดเงินเดือนโจทก์ ความเสียหายของโจทก์เกิดจากการที่โจทก์ทำผิดวินัย จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ คำสั่งที่ 77/2516ที่สั่งตัดเงินเดือนโจทก์เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าแผนกวิชาทันตกรรมประดิษฐ์กิจการในแผนกจึงอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2486 มาตรา 24 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2497 มาตรา 15 จำเลยที่ 1 มีหน้าที่บังคับบัญชากิจการทั้งหลายของแผนกและปฏิบัติการตามข้อตกลงของคณะกรรมการประจำคณะและข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อให้การสอนและหลักสูตรการสอนดำเนินไปโดยเรียบร้อยตามพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาตรา 25 ประกอบด้วยมาตรา 26 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ออกคำสั่งที่ 1/2515 ตั้งโจทก์เป็นผู้ช่วยหน่วยวิชาพาเชี่ยลเด็นเจอร์และออกคำสั่งที่ 2/2516 ให้โจทก์รายงานการสอนนักศึกษาปีที่ 2 วิชาพาเชี่ยลเด็นเจอร์ปี พ.ศ. 2515 – 2516 พร้อมกับผลของการปฏิบัติงานทางด้านคลีนิคของนิสิตปีที่ 4 มายังจำเลยที่ 1 ภายในวันที่ 9 มีนาคม 2516 จึงเป็นการสั่งเกี่ยวกับการบังคับบัญชากิจการทั้งหลายของแผนกวิชาทันตกรรมประดิษฐ์ อันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ 1มิใช่เป็นการวางระเบียบการภายในแผนกวิชาหรือการอื่นอันเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการประจำคณะที่จะต้องเสนอต่อสภามหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2486 มาตรา 22 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2497 มาตรา 14 การที่โจทก์บันทึกโต้แย้งว่าโจทก์ไม่ยอมรับทราบคำสั่งของจำเลยที่ 1 และบันทึกโต้แย้งในเอกสารหมาย ล.12 ว่าโจทก์ไม่มีอะไรให้อีกแล้วและไม่มีผลใด ๆ ทั้งสิ้นแสดงว่าโจทก์จงใจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมาย และระเบียบแบบแผนของทางราชการอันเป็นการกระทำผิดวินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2497 มาตรา 71 วรรคสองการที่จำเลยที่ 1 รายงานต่อคณบดีคณะทันตแพทย์ศาสตร์เพื่อให้ลงโทษโจทก์จึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งจากพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ออกคำสั่งเพื่อแกล้งโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
ที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐสืบต่อจากนายบุญรอด บิณฑสันต์ ออกคำสั่งที่ 77/2516 ลงโทษโจทก์โดยให้ตัดเงินเดือนร้อยละ 10 มีกำหนด 6 เดือน ก็ปรากฏว่าหลังจากที่จำเลยที่ 1 รายงานให้คณบดีคณะทันตแพทย์ศาสตร์ลงโทษโจทก์แล้ว นายบุญรอดมีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่ 3, ที่ 4 และที่ 5 เป็นคณะกรรมการเพื่อทำการสอบสวนทางวินัย แก่โจทก์ จำเลยที่ 3, ที่ 4 และที่ 5 สอบสวนแล้วเสนอความเห็นว่าโจทก์ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา สมควรลงโทษตัดเงินเดือนร้อยละ 10 มีกำหนด 6 เดือน นายบุญรอดเห็นชอบด้วยตามข้อเสนอของปลัดทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐซึ่งเห็นควรให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการสอบสวนพิจารณา แต่นายบุญรอดพ้นจากตำแหน่งเสียก่อน การที่จำเลยที่ 2 ออกคำสั่งลงโทษโจทก์ตามที่รัฐมนตรีคนก่อนสั่งไว้จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมาย มิใช่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
สำหรับจำเลยที่ 3, ที่ 4 และที่ 5 สอบสวนโจทก์ตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐอันเป็นคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย และเสนอความเห็นจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนว่าโจทก์ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาควรลงโทษโจทก์ พยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3, ที่ 4 และที่ 5 เสนอความเห็นเช่นนั้นเพื่อเจตนาแกล้งโจทก์ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยที่ 2 ออกคำสั่งที่ 77/2516 ให้ตัดเงินเดือนโจทก์ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 2 ทราบแล้วว่าโจทก์มิได้กระทำผิดดังที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียน จำเลยให้การว่าจำเลยตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์ตามกฎหมายแล้วปรากฏว่าโจทก์ทำผิดวินัยจริง จึงมีคำสั่งที่ 77/2516 ลงโทษโจทก์ และศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำสั่งที่ 77/2516 ของจำเลยที่ 2 ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการโดยมิได้กล่าวอ้างถึงการรับความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัยแต่อย่างใด ปัญหาข้อที่ว่าคำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ให้ตัดเงินเดือนโจทก์ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าคำสั่งที่ให้ตัดเงินเดือนโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน