คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2625/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (1) ที่กำหนดให้ศาลมีอำนาจงดสืบพยานและให้ส่งพยานเอกสารแทนนั้นเป็นเพียงเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการพิจารณาคดีเท่านั้น เพราะแม้ว่าศาลจะสั่งให้สืบพยานต่อไปฝ่ายเดียวศาลก็อาจพิพากษาให้ไม่เต็มจำนวนเงินตามคำขอก็ได้ หากพยานเอกสารไม่เพียงพอซึ่งถือได้ว่าคดีไม่มีมูลในส่วนที่ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดง ดังนั้น เมื่อศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานเอกสารมาแสดงประกอบให้ศาลเห็นว่าคดีมีมูลจริง ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจไม่พิพากษาให้จำนวนเงินในส่วนที่ไม่มีพยานเอกสารมาแสดง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพนักงานอัยการตามพระราชบัญญัติพนักงานอัยการพ.ศ. 2498 ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้เป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจดำเนินคดีแก่ผู้ละเมิดสิทธิของผู้บริโภค จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจปลูกสร้างบ้านและจัดสรรที่ดินเพื่อจำหน่ายโจทก์ได้รับคำร้องจากนางสาวทัศนีย์ ปลอดขำ กับพวก ผู้บริโภคว่าได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับจำเลย ผู้บริโภคดังกล่าวได้ชำระเงินดาวน์ให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยผิดสัญญาไม่ดำเนินการก่อสร้างบ้านตามที่สัญญาไว้ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินดาวน์จำนวน 128,000 บาท แก่นางสาวทัศนีย์ ปลอดขำ 173,000 บาทแก่นางพีรดา พิณสัมพันธ์ 240,000 บาท แก่นายมรรคหรือธาวิน พี. เซียวตง 109,000บาท แก่นางทัศนีย์ คุปตธรณี 227,500 บาท แก่นางประคอง อยู่ถมยา นายถนัด มีรัตน์นายธเนตร มีรัตน์ และนายอนนท์ มีรัตน์ 85,000 บาท แก่นางสาลินี สุนทรวิภาต308,350 บาท แก่นายอภิชาติหรือธนกฤต หวังดำรงวงศ์ 64,500 บาท แก่นางสาวเนตรนุชกิจการเจริญ และนายธนายุทธ สิรินุตานนท์ 160,000 บาท แก่นางวันชัย สว่างบรรเจิดทวีและนางสุดา สว่างบรรเจิดทวี 278,000 บาท แก่นางพูลศรี ไชยโยศิลป์ 232,127 บาทแก่นายธรรมศักดิ์ ปิยรัตนวงศ์ และนางสวนีย์ ปิยรัตนวงศ์ 327,000 บาท แก่นายวิเชียรเหล่ารุ่งเรืองชัย และนางสุนัดดา เหล่ารุ่งเรืองชัย 198,500 บาท แก่สิบตำรวจโทสิงคารกะจันทร์ นายประคอง กะจันทร์ และนางสาวนงนุช เชียงหนุ้น 254,500 บาท แก่นายเฉลิมพร สหกลจักร์ 28,800 บาท แก่นางสาวสมศรี ขุนแก้ว 278,000 บาท แก่นายพิเชษฐ์ ประคำเพชร และนางสาวจรรยา คณิตวงศ์ 221,000 บาท แก่นางสาวนงเยาว์ ลิ่มวงศ์สวัสดิ์ 227,500 บาท แก่นางสาววันเพ็ญ กอบพิมาย 210,500บาทแก่นางสุพัตรา เม่งบุตร 210,500 บาท แก่นายอนันต์ ธัญญมงคลพงศ์ 233,850 บาทแก่นางพรพิชิต ษมากรวิทิต 180,000 บาท แก่นายภักดี อิ่มคำนวร นางสาวภูริตาอิ่มคำนวร และนางสาวเสาวนีย์ วงศ์กาวี 180,000 บาท แก่นางนุชศรา หอมเนียมหรือจิระวิชชาสกุล และนายไกรวุฒิ จิระวิชชาสกุล 301,000 บาท แก่นายนิรัตน์ เหมืองหม้อหรือบุญทำเชียงทอง นายสุวิทย์ เหมืองหม้อ และนางสาวบุญมี คำวัง 338,000 บาทแก่นายทศพร สันตศิริ 147,000 บาท แก่นายวาทิต กิจนาคะเกศ 280,000 บาท แก่นางสาวชูชีพ กนิษฐสุนทร พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินซึ่งผู้บริโภคแต่ละรายได้ชำระให้แก่จำเลยไป นับแต่วันที่แต่ละคนได้ชำระเงินให้จำเลยเป็นครั้งสุดท้ายเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและไม่มาศาลในวันพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินคืนให้แก่นางสาวทัศนีย์ ปลอดขำ จำนวน123,000 บาท นางพีรดา พิณสัมพันธ์ จำนวน 173,000 บาท นายมรรคหรือธาวิน พี.เซียวตง จำนวน 240,000 บาท นางทัศนีย์ คุปตธรณี จำนวน 109,000 บาท นางประคองอยู่ถมยา, นายถนัด มีรัตน์, นายธเนตร มีรัตน์ และนายอนนท์ มีรัตน์ จำนวน 217,500บาท นางสาลินี สุนทรวิภาต จำนวน 75,000 บาท นางอภิชาติหรือธนกฤต หวังดำรงวงศ์จำนวน 308,350 บาท นางสาวเนตรนุช กิจการเจริญ และนายธนายุทธ สิรินุตานนท์จำนวน 64,500 บาท นายวันชัย สว่างบรรเจิดทวี และนางสุดา สว่างบรรเจิดทวี จำนวน106,000 บาท นางพูลศรี ไชยโยศิลป์ จำนวน 258,000 บาท นางธรรมศักดิ์ ปิยรัตนวงศ์และนางสวนีย์ ปิยรัตน์วงศ์ จำนวน 222,127 บาท นางวิเชียร เหล่ารุ่งเรืองชัย และนางสุนัดดา เหล่ารุ่งเรืองชัย จำนวน 275,000 บาท สิบตำรวจโทสิงคาร กะจันทร์นางประครอง กะจันทร์ และนางสาวนงนุช เชียงหนุ้น จำนวน 173,500 บาท นายเฉลิมพรสหกลจักร์ จำนวน 221,500 บาท นางสาวสมศรี ขุนแก้ว จำนวน 23,800 บาท นายพิเชษฐ์ ประคำเพชร และนางสาวจรรยา คณิตวงศ์ จำนวน 278,000 บาท นางสาวนงเยาว์ ลิ่มวงค์สวัสดิ์ จำนวน 211,000 บาท นางสาววันเพ็ญ กอบพิมาย จำนวน217,500 บาท นางสุพัตรา เม่งบุตร จำนวน 200,500 บาท นายอนันต์ ธัญญมงคลพงศ์จำนวน 200,500 บาท นางพรพิชิต ษมากรวิทิต จำนวน 223,850 บาท นายภักดีอิ่มคำนวร นางสาวภูริตา อิ่มคำนวร และนางสาวเสาวนีย์ วงศ์กาวี จำนวน 168,000บาท นางนุชศรา หอมเนียมหรือจิระ วิชชาสกุล และนายไกรวุฒิ จิระวิชชาสกุล จำนวน120,000 บาท นายนิวัฒน์ เหมืองหม้อหรือบุญทำ เชียงทอง นายสุวิทธ์ เหมืองหม้อ และนางสาวบุญมี คำวัง จำนวน 274,000 บาท นายทศพร สันตศิริ จำนวน 323,000 บาทนายวิทิต กิจนาคะเกศ และนางสาวจรรยา ลักษณาอารยะการ จำนวน 131,000 บาทนางสาวชูชีพ กนิษฐสุนทร จำนวน 270,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2540, 7 ธันวาคม 2540, 9 มีนาคม 2541, 6 มกราคม 2541, 20 มกราคม 2541, 18 ตุลาคม 2540, 27 ตุลาคม 2540, 27 ตุลาคม 2540, 26กันยายน 2540, 16 พฤศจิกายน 2540, 14 กันยายน 2540, 6 มิถุนายน 2541, 1 ตุลาคม2540, 9 กันยายน 2541, 11 ตุลาคม 2540, 14 มกราคม 2542, 14 ธันวาคม 2540,4 ธันวาคม 2540, 26 สิงหาคม 2540, 3 ธันวาคม 2540, 22 พฤศจิกายน 2540, 4ตุลาคม 2540, 4 พฤศจิกายน 2540, 25 สิงหาคม 2541, 15 พฤศจิกายน 2541, 29กันยายน 2540 และวันที่ 7 ตุลาคม 2541 ตามลำดับเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินจัดสรร โดยจำเลยได้รับเงินจากผู้บริโภคไปแล้วไม่ดำเนินการตามสัญญาปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่ผู้บริโภคไม่เต็มตามฟ้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (1)บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินจำนวนแน่นอนให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารตามที่ศาลเห็นว่าจำเป็นแทนการสืบพยาน จะเห็นได้ว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวมิได้มีข้อความบังคับศาลว่าจะต้องพิพากษาไปตามคำขอของโจทก์ทุกประการ และเมื่อพิจารณาประกอบกับมาตรา 198 ทวิ วรรคแรกที่บัญญัติว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมิได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย… บทบัญญัติที่กำหนดให้ศาลมีอำนาจงดสืบพยานและให้ส่งพยานเอกสารแทนนั้นเป็นเพียงเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการพิจารณาคดีเท่านั้น เพราะแม้ว่าศาลจะสั่งให้สืบพยานต่อไปฝ่ายเดียว ศาลก็อาจพิพากษาให้ไม่เต็มตามคำขอก็ได้ หากพยานเอกสารไม่เพียงพอ ซึ่งถือได้ว่าคดีไม่มีมูลในส่วนที่ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดง ดังนั้น เมื่อศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานเอกสารมาแสดงประกอบให้ศาลเห็นว่าคดีมีมูลจริง ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจไม่พิพากษาให้ในส่วนที่ไม่มีพยานเอกสารมาแสดงที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share