แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สิทธิที่จะใช้ที่ดินของ ล. เป็นทางเข้าออกอันเป็นการได้มาซึ่งภาระจำยอมตามข้อตกลงแม้จะไม่ได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยังไม่เป็นทรัพยสิทธิที่บริบูรณ์แต่ก็เป็นบุคคลสิทธิใช้บังคับกันได้ระหว่างคู่สัญญา และไม่ใช่สิทธิตามกฎหมายหรือสิทธิเฉพาะตัวโดยแท้ เมื่อจำเลยได้รับโอนที่ดินจาก ล. ก็มิได้ขัดขวางการใช้ทางพิพาทของ ป. และโจทก์ ถือว่าจำเลยตกลงยอมรับที่จะผูกพันปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่าง ล. กับ ป. โดยปริยาย โจทก์ซึ่งรับโอนที่ดินและสิทธิจาก ป. ย่อมอาศัยข้อตกลงฟ้องให้จำเลยซึ่งเป็นทายาทผู้สืบสิทธิและรับโอนที่ดินจาก ล. ให้ปฏิบัติตามข้อตกลงได้ ทางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโจทก์
ล. สร้างบ้าน ทำคันปูนและปลูกต้นไม้รุกล้ำทางภาระจำยอม ต่อมาจำเลยรื้อต้นไม้และคันปูนออกแล้วต่อเติมเป็นห้องพักให้ ล. โจทก์จึงไม่สามารถใช้ที่ดินส่วนดังกล่าวเป็นทางเข้าออกได้ โจทก์ไม่ได้ใช้ที่ดินส่วนดังกล่าวถึงวันฟ้องเกิน 10 ปี ภาระจำยอมในที่ดินส่วนนั้นจึงสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1399
โจทก์ฟ้องโดยมีคำขอท้ายฟ้องให้พิพากษาว่า ที่ดินของจำเลยกว้าง 1.50 เมตร ยาวตลอดแนวด้านทิศตะวันออกเป็นทางภาระจำยอมสำหรับที่ดินโจทก์ แผนที่พิพาท ไม่ระบุตำแหน่ง ไม่ระบุความกว้างยาวและเนื้อที่ของทางภาระจำยอมไว้ ถือว่าโจทก์ประสงค์ได้ทางภาระจำยอมมีความกว้างตามคำขอท้ายฟ้องเท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินด้านทิศตะวันออกของจำเลย กว้าง 1.74 เมตร เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่ดินของจำเลยบางส่วนที่เป็นภาระจำยอมสิ้นไปแล้วตกเป็นภาระจำยอมด้วย คำพิพากษาศาลชั้นต้นส่วนนี้จึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 (เดิม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 37265 เลขที่ดิน 30 (ที่ถูก เลขที่ดิน 31) ตำบลบางกระบือ (ถนนนครไชยศรี) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) ทางทิศตะวันออก กว้าง 1.50 เมตร ยาว 18.70 เมตร ตกเป็นทางภาระจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 37266 เลขที่ดิน 31 (ที่ถูก เลขที่ดิน 30) ตำบลบางกระบือ (ถนนนครไชยศรี) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) ให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยรื้อถอนอาคารบางส่วนเลขที่ 698/8 ถนนนครไชยศรี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร และแนวรั้วเพื่อเปิดทางเข้าออกทางภาระจำยอมและส่งมอบทางภาระจำยอมในสภาพเรียบร้อยให้แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 37265 เลขที่ดิน 31 ตำบลบางกระบือ (ถนนนครไชยศรี) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) ทางทิศตะวันออกด้านติดถนนสาธารณะ กว้าง 1.74 เมตร และด้านหลังนับรวมอาคารที่มีการต่อเติมมีความกว้าง 1.824 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินดังกล่าว ยกเว้นอาคารที่มีการต่อเติมที่มีสีเขียวในแผนที่พิพาท ตกเป็นทางภาระจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 37266 เลขที่ดิน 30 ตำบลบางกระบือ (ถนนนครไชยศรี) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) ให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยรื้อแนวรั้วเพื่อเปิดทางเข้าออกตามทางภาระจำยอมและส่งมอบทางภาระจำยอมในสภาพเรียบร้อยให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 37265 เลขที่ 31 ตำบลบางกระบือ (ถนนนครไชยศรี) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) บางส่วนทางทิศตะวันออกด้านติดถนนสาธารณะเป็นทางหน้ากว้าง 1.50 เมตร และด้านที่มีความยาวตลอดแนวที่ดินดังกล่าว 18.70 เมตร ตามฟ้อง รวมถึงแนวอาคารที่มีการต่อเติมที่มีสีเขียวในแผนที่พิพาท ซึ่งปลูกสร้างลงบนส่วนหนึ่งของด้านที่มีความยาวตลอดแนวที่ดิน 18.70 เมตร ดังกล่าว ไม่เป็นทางภาระจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 37266 เลขที่ดิน 30 ตำบลบางกระบือ (ถนนนครไชยศรี) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) และให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนที่ว่า ให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยรื้อแนวรั้วเพื่อเปิดทางเข้าออกตามทางภาระจำยอมและส่งมอบทางภาระจำยอมในสภาพเรียบร้อยให้แก่โจทก์เสีย ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลรวม 20,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งกันฟังได้ว่า นายโปร่ง เป็นสามีของนางสละ เมื่อปี 2503 นายสงัด นางสละมารดาของโจทก์และนางลออง มารดาของจำเลย ร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6955 ตำบลถนนนครไชยศรี (บางกระบือ) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) ตกลงแบ่งที่ดินเป็น 4 ส่วน นายสงัดได้ 2 ส่วน นางสละและนางลอองได้คนละ 1 ส่วน ในปี 2504 นางสละปลูกสร้างบ้านเลขที่ 702/4 ในที่ดินส่วนของตน เมื่อปี 2506 นางสละถึงแก่ความตาย นายโปร่งรับโอนมรดกที่ดินส่วนของนางสละ ในปี 2512 มีการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 6955 นายสงัดได้ที่ดินด้านทิศตะวันตกตลอดแนว นางลอองได้ที่ดินด้านทิศตะวันออกส่วนหน้าซึ่งติดทางสาธารณะ เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 37265 ส่วนนายโปร่งได้ที่ดินด้านทิศตะวันออกส่วนหลัง ซึ่งด้านหน้าติดทางสาธารณะ กว้าง 1 เมตร เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 37266 ประมาณปี 2514 นางลอองปลูกสร้างบ้านเลขที่ 698/8 ในที่ดินของตน ในปี 2517 ไฟไหม้บ้านนางสละ นายโปร่งได้ปลูกสร้างใหม่ เมื่อปี 2525 โจทก์ขออนุญาตนางลอองทุบเสากลางในแผนผังซึ่งเป็นเสาประตูรั้วด้านทิศตะวันออกของนางลอองเพื่อนำรถยนต์เข้ามาจอด นางลอองอนุญาต หลังรื้อถอนเสากลางแล้วประตูรั้วบ้านโจทก์และจำเลยมีสภาพตามภาพถ่าย ในปี 2534 จำเลยต่อเติมข้างบ้านเลขที่ 698/8 ด้านทิศตะวันออกเป็นห้องพักให้นางลออง วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2535 นางลอองจดทะเบียนยกบ้านและที่ดินให้แก่จำเลย วันที่ 6 มีนาคม 2538 นางลอองถึงแก่ความตาย วันที่ 13 มกราคม 2546 นายโปร่งจดทะเบียนยกบ้านและที่ดินให้แก่โจทก์ เดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2555 จำเลยทำประตูรั้วใหม่ พร้อมตั้งเสาด้านทิศตะวันออกและทำรั้วด้านข้าง
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า นางลอองและนางสละเป็นพี่น้องกัน ได้ความจากสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายและสำเนาบันทึกข้อตกลงเรื่องจดทะเบียนว่า เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2503 นายสงัด นางลอองและนางสละร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6955 ได้จดทะเบียนบรรยายส่วนไว้ระบุว่าเป็นของนายสงัด 2 ส่วน นางสละ 1 ส่วน และนางลออง 1 ส่วน หากทั้งสามคนออกเงินซื้อที่ดินเท่ากันย่อมมีสิทธิในที่ดินเท่ากัน และไม่จำต้องจดทะเบียนบรรยายส่วน เหตุที่มีการจดทะเบียนบรรยายส่วนจึงเชื่อได้ว่าเป็นเพราะออกเงินไม่เท่ากัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลังจึงได้จดทะเบียนบรรยายส่วนตามสัดส่วนที่ออกเงินซื้อ ทำให้เชื่อได้ว่านางสละและนางลอองออกเงินซื้อที่ดินเท่ากัน ได้ความจากสำเนาคำขอโอนมรดกว่า หลังจากนางสละถึงแก่ความตายกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 6955 ส่วนของนางสละตกแก่นายโปร่ง ได้ความจากสำเนาโฉนดว่า หลังจากแบ่งแยกที่ดินแล้วนางลอองและนายโปร่งมีเนื้อที่ไม่เท่ากัน นางลอองได้ที่ดินโฉนดเลขที่ 37265 เนื้อที่ 50 ตารางวา ส่วนนายโปร่งได้ที่ดินโฉนดเลขที่ 37266 เนื้อที่ 43 ตารางวา และมีส่วนติดทางสาธารณะเพียง 1 เมตร ได้ความจากบันทึกว่า เมื่อปี 2525 โจทก์ขออนุญาตนางลอองนำรถเข้ามาจอด ขอทุบเสาต้นกลาง โดยโจทก์จะซ่อมแซมประตูรั้วหน้าบ้านให้ บันทึกนี้มีแผนผังแสดงแนวเขตที่ดินของนางลออง แนวที่ดินบ้านโจทก์ ตำแหน่งที่ตั้งและความกว้างของประตูรั้วใหม่ที่จะทำให้นางลออง ระบุว่าประตูรั้วใหม่ของนางลอองกว้างจนถึงขอบเสาที่ทุบทิ้งด้านตะวันออก แผนผังนี้ระบุความกว้างจากแนวเขตที่ดินบ้านโจทก์ถึงเสาที่ขอทุบทิ้งไว้ 2 ระยะ ระยะแรกจากแนวที่ดินของบ้านโจทก์ถึงแนวที่ดินนางลอองกว้าง 1.50 เมตร และจากแนวที่ดินนางลอองถึงเสากลาง 1.50 เมตร รวมแล้วกว้าง 3 เมตร แสดงให้เห็นว่านางลอองสร้างประตูรั้วหน้าบ้าน โดยปักเสาเว้นระยะห่างจากเขตที่ดินด้านทิศตะวันออก 1.50 เมตร นายวิรัตสามีจำเลยเป็นผู้ทำบันทึกฉบับนี้ จึงฟังได้ว่านายวิรัตเป็นผู้ทำแผนผัง เป็นผู้ระบุแนวเขตที่ดินบ้านโจทก์ แนวเขตที่ดินนางลออง ตำแหน่งที่ตั้งเสารั้วที่โจทก์ขอทุบทิ้ง รวมทั้งเป็นผู้ระบุความกว้างและระยะต่าง ๆ ในแผนผัง ขณะทำบันทึกฉบับนี้นายวิรัตสามีจำเลยเพิ่งเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินของนางลอองประมาณ 2 ปี น่าจะไม่ทราบรายละเอียดต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องระยะและแนวเขตที่บันทึกไว้ เชื่อว่าการรู้เห็นของนายวิรัตได้มาจากการสอบถามนางลอองและจำเลย ขณะนั้นโจทก์และจำเลยยังไม่มีข้อพิพาทกัน จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะบันทึกให้ผิดไปจากความเป็นจริง ข้อความและตำแหน่งที่ตั้งเสากลางที่โจทก์ขอทุบทิ้งในบันทึกนี้ สอดคล้องตรงกับแผนผัง นางลอองและนางสละออกเงินซื้อที่ดินเท่ากันจดทะเบียนบรรยายส่วนว่ามีส่วนในที่ดินคนละ 1 ส่วนเท่ากันและนางลอองเป็นผู้ปลูกสร้างบ้านเลขที่ 698/8 หากนายโปร่งกับนางลอองไม่มีข้อตกลงเรื่องทางสำหรับที่ดินโจทก์ ก็ไม่มีเหตุใดในการแบ่งแยกที่ดินแล้วจะได้จำนวนเนื้อที่ไม่เท่ากัน โดยนายโปร่งได้ที่ดินส่วนหลังเนื้อที่น้อยกว่าทั้งติดทางสาธารณะเพียง 1 เมตร และไม่มีเหตุใดที่นางลอองจะไม่ปักเสาประตูรั้วด้านทิศตะวันออก ซึ่งแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของตามแนวเขตที่ระบุในโฉนดที่ดินของตน ทางนำสืบโจทก์และจำเลยตรงกันว่าประตูด้านซ้ายในภาพถ่าย ภาพบนเป็นของบ้านโจทก์ ส่วนด้านขวาเป็นของบ้านจำเลย ตำแหน่งที่ตั้งประตูรั้วบ้านจำเลยตรงกับในบันทึกและแผนผัง และนับแต่แบ่งแยกที่ดินถึงปี 2555 ก่อนโจทก์และบุตรสาวจำเลยจะมีปากเสียงกัน นางลอองและจำเลยไม่เคยโต้แย้งเรื่องนายโปร่งและโจทก์ใช้ทางในที่ดินของนางลออง พฤติการณ์ของนางลอองที่ปักเสาและสร้างประตูรั้วร่นจากเขตที่ดินด้านทิศตะวันออกเข้ามา 1.50 เมตร และก่อนหน้าที่โจทก์กับบุตรสาวจำเลยจะมีปากเสียงกัน นางลอองและจำเลยไม่เคยโต้แย้งการใช้ทางในที่ดินของตน ระยะจากแนวเขตที่ดินบ้านโจทก์ถึงแนวเขตที่ดินบ้านจำเลยในบันทึกระบุว่า 1.50 เมตร ซึ่งตรงกับคำเบิกความของโจทก์และนายโปร่ง แม้นายโปร่งจะเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าไม่มีบันทึกข้อตกลงให้ใช้ทางไว้ในเอกสารใด ๆ และโจทก์รับว่าทำบันทึกขออนุญาตนำรถมาจอดในที่ดินนางลออง รวมทั้งนายโปร่งไม่โต้แย้งที่นางลอองทำแนวคันปูน ปลูกต้นไม้ในทางพิพาทและจำเลยต่อเติมห้องให้นางลออง ก็ไม่ทำให้รับฟังได้ว่าไม่มีข้อตกลงเรื่องการใช้ทาง เพราะข้อตกลงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ และขณะทำบันทึกโจทก์ยังมิได้เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 37266 ที่นายโปร่งไม่โต้แย้งที่นางลอองทำคันปูนและปลูกต้นไม้ และไม่โต้แย้งที่จำเลยต่อเติมห้องในปี 2534 นายโปร่งก็เบิกความไว้แล้วว่าเป็นเพราะยังสามารถใช้ทางเข้าออกและนำรถมาจอดในทางพิพาทได้ อีกทั้งเห็นว่าต่อเติมห้องให้นางลอองซึ่งเป็นบุคคลที่ตนนับถือ ที่นายโปร่งเบิกความว่าตอนแบ่งแยกที่ดิน นางลอองตกลงว่าจะกันที่ดินด้านทิศตะวันออก 1.50 เมตร เพื่อรวมกับที่ดินของนายโปร่งที่ติดทางสาธารณะอีก 1.50 เมตร รวมเป็น 3 เมตร ใช้เป็นทางเข้าออก แม้โฉนดที่ดินของนายโปร่งติดทางสาธารณะเพียง 1 เมตร ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง เพราะเป็นการเบิกความถึงข้อตกลงซึ่งตรงกับที่ระบุในบันทึกที่นายวิรัตสามีของจำเลยได้บันทึกไว้ การแบ่งแยกที่ดินเจ้าของที่ดินจะต้องแจ้งความประสงค์ว่าจะแบ่งในรูปแบบใด กว้างยาวเพียงใดให้แก่ใคร มิใช่ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามใจชอบ นายโปร่งได้ที่ดินด้านหลัง ทางเข้าออกจึงเป็นเรื่องสำคัญ คำเบิกความนายโปร่งที่ว่าก่อนแบ่งแยกที่ดินนางลอองตกลงว่าจะให้ใช้ที่ดินด้านทิศตะวันออกกว้าง 1.50 เมตร เป็นทางเข้าออกจึงสอดคล้องกัน ในเมื่อนับแต่แบ่งแยกที่ดินจนถึงปี 2555 ไม่เคยมีปัญหาเรื่องทางเข้าออก การไม่จดทะเบียนข้อตกลงเรื่องทางหลังแบ่งแยกจึงไม่ใช่เรื่องไม่สมเหตุสมผล โจทก์ทำตามความประสงค์ของนางลออง ใจความสำคัญของบันทึกฉบับนี้ก็เพื่อเป็นหลักฐานว่าไม่ว่าโจทก์จะใช้ที่ดินนานเพียงใดก็ไม่ได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ไม่ใช่ข้อบ่งชี้ว่านายโปร่งและโจทก์ไม่มีสิทธิในทางพิพาท ส่วนหนังสืออนุสรณ์งานศพของนางลอองแม้จะมีข้อความที่ครอบครัวโจทก์เขียนถึงนางลอองฝ่ายเดียว แต่เป็นช่วงก่อนจะเกิดกรณีพิพาทกัน จึงเชื่อได้ว่าเขียนตามความเป็นจริง ส่วนที่ว่าโจทก์จะใช้ทางพิพาทสำหรับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ก็ไม่ใช่เรื่องนำสืบนอกฟ้อง แต่เป็นการนำสืบถึงการใช้ทางพิพาท หลังแบ่งแยกที่ดินแล้วนายโปร่งได้ที่ดินด้านหลัง เนื้อที่น้อยกว่าที่ดินนางลอองที่อยู่ด้านหน้าจำนวน 7 ตารางวา การที่นางลอองไม่ปักเสาประตูรั้วด้านทิศตะวันออกตามแนวเขตในโฉนดที่ดิน และบันทึกระบุความกว้างของที่ดินโจทก์ที่ติดทางสาธารณะถึงเสาที่นางลอองปักไว้ 1.50 เมตร ล้วนสอดคล้องสนับสนุนคำเบิกความโจทก์และนายโปร่งให้มีน้ำหนักรับฟังได้มากยิ่งขึ้น พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ฟังได้ว่า ขณะแบ่งแยกที่ดินนางลอองมีข้อตกลงให้นายโปร่งบิดาของโจทก์ใช้ที่ดินด้านทิศตะวันออก กว้าง 1.50 เมตร เป็นทางสำหรับที่ดินโจทก์ใช้เข้าออกสู่ทางสาธารณะจริง เมื่อจำเลยได้รับโอนที่ดินจากนางลอองก็มิได้ขัดขวางการใช้ทางพิพาทของนายโปร่งและโจทก์ ถือว่าจำเลยตกลงยอมรับที่จะผูกพันปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างนางลอองกับนายโปร่งโดยปริยาย สิทธิที่จะใช้ที่ดินของนางลอองเป็นทางเข้าออกอันเป็นการได้มาซึ่งภาระจำยอมตามข้อตกลงดังกล่าว แม้จะไม่ได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยังไม่เป็นทรัพยสิทธิที่บริบูรณ์ แต่ก็เป็นบุคคลสิทธิใช้บังคับกันได้ระหว่างคู่สัญญา และไม่ใช่สิทธิตามกฎหมายหรือสิทธิเฉพาะตัวโดยแท้ โจทก์ซึ่งรับโอนที่ดินและสิทธิจากนายโปร่งย่อมอาศัยข้อตกลงดังกล่าวฟ้องให้จำเลยซึ่งเป็นทายาทผู้สืบสิทธิและรับโอนที่ดินจากนางลอองให้ปฏิบัติตามข้อตกลงได้ ทางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า ทางพิพาทกว้างยาวเพียงใด โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าใช้ที่ดินจำเลยด้านทิศตะวันออก กว้าง 1.50 เมตร ยาวขนานกับแนวเขตที่ดินของจำเลยเป็นทางภาระจำยอม ได้ความจากภาพถ่ายว่า ในปี 2514 นางลอองสร้างบ้านเลขที่ 698/8 ทำคันปูนและปลูกต้นไม้รุกล้ำทางภาระจำยอม ทางนำสืบโจทก์จำเลยตรงกันว่า ต่อมาจำเลยรื้อต้นไม้และคันปูนออกแล้วต่อเติมเป็นห้องพักให้นางลออง ในเมื่อมีคันปูนและต้นไม้ซึ่งต่อมาได้ต่อเติมเป็นห้องพัก เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถใช้ที่ดินส่วนนั้นเป็นทางเข้าออกได้ จึงฟังได้ว่านับแต่ปี 2514 นายโปร่งและโจทก์ไม่ได้ใช้ที่ดินส่วนนั้นรวมทั้งที่ดินด้านหลังอาคารที่ต่อเติมเป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ ถึงวันฟ้องเกิน 10 ปี ภาระจำยอมส่วนนั้นจึงสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 จึงฟังได้ว่าทางภาระจำยอมติดทางสาธารณะ มีความกว้าง 1.50 เมตร จากตะปู 4 ในแผนที่พิพาท ส่วนความยาวเป็นแนวเส้นตรงขนานกับแนวเขตด้านทิศตะวันออกของที่ดินจำเลยจนถึงที่ดินของโจทก์ ยกเว้นส่วนที่เป็นอาคาร ด้านหลังอาคาร และพื้นคอนกรีตที่สูงกว่าพื้นถนนที่ปรากฏในภาพถ่าย
อนึ่ง โจทก์ฟ้องโดยมีคำขอท้ายฟ้องให้พิพากษาว่า ที่ดินของจำเลยกว้าง 1.50 เมตร ยาวตลอดแนวด้านทิศตะวันออกเป็นทางภาระจำยอมสำหรับที่ดินโจทก์ แผนที่พิพาทไม่ระบุตำแหน่ง ไม่ระบุความกว้างยาวและเนื้อที่ของทางภาระจำยอมไว้ ถือว่าโจทก์ประสงค์ได้ทางภาระจำยอมมีความกว้างตามคำขอท้ายฟ้องเท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินด้านทิศตะวันออกของจำเลยด้านติดถนนสาธารณะ กว้าง 1.74 เมตร เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินจำเลยด้านติดถนนกว้าง 1.74 เมตร และด้านหลังนับรวมอาคารที่มีการต่อเติมมีความกว้าง 1.84 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินดังกล่าว ยกเว้นอาคารที่มีการต่อเติมที่มีสีเขียวในแผนที่พิพาท ตกเป็นทางภาระจำยอมของที่ดินโจทก์ มีผลให้ที่ดินจำเลยใต้แนวเส้นมุมอาคารที่ต่อเติมถึงมุมอาคารที่ต่อเติม 1 จนถึงแนวตะปู 9 และตะปู 6 ซึ่งภาระจำยอมสิ้นไปแล้วตกเป็นภาระจำยอมด้วย คำพิพากษาศาลชั้นต้นส่วนนี้จึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 (เดิม) ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 37265 ตำบลบางกระบือ (ถนนนครไชยศรี) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) ส่วนทางทิศตะวันออกจากด้านติดถนนสาธารณะกว้าง 1.50 เมตร บริเวณตะปู 4 ในแผนที่พิพาท ยาวเป็นแนวเส้นตรงขนานกับแนวเขตด้านทิศตะวันออกของที่ดินจำเลยมาถึงที่ดินโจทก์ ยกเว้นที่ดินส่วนที่เป็นอาคาร ด้านหลังอาคาร และพื้นคอนกรีตที่สูงกว่าพื้นถนนที่ปรากฏในภาพถ่าย เป็นทางภาระจำยอมสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 37266 ตำบลบางกระบือ (ถนนนครไชยศรี) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) ให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยรื้อแนวรั้วเพื่อเปิดทางเข้าออกตามทางภาระจำยอมและส่งมอบทางภาระจำยอมในสภาพเรียบร้อยให้แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ