คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2620/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองมิได้ฟ้องและให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองที่ดินพิพาทแทน จ. แล้วแย่งการครอบครองโดยบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยัง จ. ว่าไม่มีเจตนายึดที่ดินพิพาทแทน จ. ต่อไป คดีจึงไม่มีประเด็นว่า โจทก์ทั้งสองได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยัง จ. บิดาจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 หรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากประเด็นตามคำฟ้องและคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์ทั้งสอง ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้ และเมื่อข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยโจทก์ทั้งสองมิได้แก้ฎีกาว่า ส. บิดาโจทก์ที่ 2 เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของ จ. หรือบริษัท ร. แล้วโจทก์ที่ 2 เข้าครอบครองที่ดินพิพาทต่อเนื่องมาจาก จ. จึงเป็นการครอบครองแทน จ. บิดาจำเลยด้วย โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของ จ. ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จึงมีอำนาจฟ้องแย้งให้ขับไล่โจทก์ทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินพิพาทได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้พิพากษาว่า ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 824 เนื้อที่ 13 ไร่ 13 ตารางวา และเลขที่ 825 บางส่วน เนื้อที่ 40 ไร่เศษ ตามแผนที่ท้ายคำฟ้อง กองมรดกของนายสาและโจทก์ที่ 2 มีสิทธิครอบครอง ให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยไปดำเนินการขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพังงา สาขาตะกั่วป่า แก้ไขหรือออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 824 เนื้อที่ 13 ไร่ 13 ตารางวา และเลขที่ 825 บางส่วน เนื้อที่ 40 ไร่เศษ ให้แก่กองมรดกของนายสาและโจทก์ที่ 2 และห้ามจำเลยและบริวารของนายจุติเข้ามาขัดขวางหรือรบกวนการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอีกต่อไป
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองร่วมกันรื้อถอนเสาปูนและลวดหนามซึ่งปักไว้ตามแนวที่คนงานของบริษัทเรือขุดแร่บุญสูง จำกัด ปลูกไม้ยืนต้นไว้ เพื่อเป็นเครื่องหมายตลอดแนวออกทั้งหมด ห้ามโจทก์ทั้งสองและบริวารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินอีกต่อไป
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทบริเวณกรอบเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาท เนื้อที่ 50 ไร่ 61 ตารางวา ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 824 และ 825 ตำบลโคกเคียน อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง กับให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งในศาลชั้นต้นให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติได้ว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 50 ไร่ 61 ตารางวา บริเวณกรอบเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาท อยู่ในเขตที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 824 และ 825 ตำบลโคกเคียน อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ที่มีชื่อนายจุติ บิดาจำเลยซึ่งถึงแก่ความตายไปแล้วเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เดิมนายสา บิดาโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ต่อมานายสาถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2546 หลังจากนั้นโจทก์ที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล และโจทก์ที่ 2 ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อเนื่องมาตลอด ครั้นปลายปี 2549 โจทก์ที่ 2 นำรถตักเข้าไปตักดิน หินและทรายในที่ดินพิพาทไปจำหน่าย จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของนายจุติมอบอำนาจให้นายชัยพฤกษ์ ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรตะกั่วป่าให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ที่ 2 กับพวกในข้อหาบุกรุกและลักทรัพย์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือจำเลย เห็นว่า คดีนี้ โจทก์ทั้งสองฟ้องและให้การแก้ฟ้องแย้งของจำเลยอ้างว่า นายจุติไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท นายสาและโจทก์ทั้งสองได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยเข้าแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากนายจุติ โดยนายสาและโจทก์ทั้งสองเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2524 นายสาและโจทก์ทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตน ไม่เคยขออนุญาตนายจุติและไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนนายจุติ เมื่อโจทก์ทั้งสองมิได้ฟ้องและให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองที่ดินพิพาทแทนนายจุติ แล้วแย่งการครอบครองโดยบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังนายจุติว่าไม่มีเจตนายึดที่ดินพิพาทแทนนายจุติต่อไป คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังนายจุติบิดาจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 หรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากประเด็นตามคำฟ้องและคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์ทั้งสอง ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้ คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในข้อนี้จึงไม่ชอบและเมื่อข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยโจทก์ทั้งสองมิได้แก้ฎีกาว่านายสาบิดาโจทก์ที่ 2 เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายจุติหรือบริษัทเรือขุดแร่บุญสูง จำกัด แล้วโจทก์ที่ 2 เข้าครอบครองที่ดินพิพาทต่อเนื่องมาจากนายสาจึงเป็นการครอบครองแทนนายจุติบิดาจำเลยด้วย โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของนายจุติผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จึงมีอำนาจฟ้องแย้งให้ขับไล่โจทก์ทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินพิพาทได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับเป็นว่า ให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันรื้อถอนเสาปูนและลวดหนามออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 824 และ 825 ตำบลโคกเคียน อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ห้ามโจทก์ทั้งสองและบริวารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวอีกต่อไป ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามชั้นศาลตามฟ้องโจทก์ทั้งสองและฟ้องแย้งของจำเลยให้เป็นพับ

Share