แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคารถยนต์พิพาท จำเลยทั้งสี่ให้การว่า รถยนต์พิพาทสูญหายไป เห็นว่าจำเลยทั้งสี่ไม่อาจคืนรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ ซึ่งหากจำเลยทั้งสี่ต้องชำระราคารถยนต์พิพาทให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้กับจำเลยร่วม และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันที่จะต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ราคารถยนต์พิพาทให้โจทก์ ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเรียกค่าทดแทนสำหรับความเสียหายของรถยนต์พิพาทจากจำเลยร่วมผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว จำเลยทั้งสี่จึงขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3) และเมื่อศาลชั้นต้นได้มีหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตามที่จำเลยทั้งสี่ขอดังกล่าวแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยร่วมชดใช้ค่าเสียหายที่จำเลยร่วมต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยให้โจทก์ได้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 466,200 บาท และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 124,708.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 590,908.50 บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 13,856.50 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคารถยนต์และค่าเสียหายเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การและแก้ไขคำให้การว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อได้ถูกคนร้ายโจรกรรมไป จำเลยที่ 1 จึงไม่สามารถส่งมอบรถยนต์คืนแก่โจทก์ได้ แต่รถยนต์ที่เช่าซื้อมีประกันภัยความเสียหายจากภัยโจรกรรมไว้แก่บริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด ในมูลประกันภัย 300,000 บาท โดยโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้แจ้งให้บริษัทผู้รับประกันภัยทราบเพื่อขอรับชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่เสียหาย และโจทก์คิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด ผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่เช่าซื้อเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เพราะโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ให้รับผิดฐานผิดสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน ไม่เกี่ยวกับสัญญาประกันภัย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 57,517.24 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 กันยายน 2540 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยร่วมชำระเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 กันยายน 2540 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสี่และจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยทั้งสี่และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ สำหรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ให้ยก คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลยทั้งสี่ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมอื่นในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่และจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยร่วมมีว่า จำเลยร่วมต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ จำเลยร่วมฎีกาเมื่อรถยนต์พิพาทสูญหาย โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องต่อจำเลยร่วมโดยตรงตามสัญญาประกันภัย แต่โจทก์กลับใช้สิทธิเรียกร้องต่อจำเลยทั้งสี่ตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นมูลหนี้ต่างหากจากมูลหนี้ที่จำเลยร่วมต้องรับผิด จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนแก่โจทก์หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคารถยนต์พิพาท จำเลยทั้งสี่ให้การว่า รถยนต์พิพาทสูญหายไป เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสี่ไม่อาจคืนรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ ซึ่งหากจำเลยทั้งสี่ต้องชำระราคารถยนต์พิพาทแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้เอาประกันภัยรถยนต์พิพาทไว้แก่จำเลยร่วม กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันที่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้ราคารถยนต์พิพาทแก่โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยร่วมให้ใช้ค่าทดแทนตามสัญญาประกันภัยได้ จำเลยทั้งสี่จึงขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3) และเมื่อศาลชั้นต้นได้มีหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตามคำขอของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยร่วมใช้ค่าเสียหายที่จำเลยร่วมต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยแก่โจทก์ได้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ฎีกาของจำเลยร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยร่วมฎีกาว่า จำเลยร่วมอุทธรณ์ว่า สัญญาประกันภัยในคดีนี้เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอก สิทธิของโจทก์จะเกิดขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่จำเลยร่วมว่าโจทก์จะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น เมื่อโจทก์ยังมิได้แสดงเจตนาแก่จำเลยร่วมจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยร่วมตามสัญญาประกันภัย แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า จำเลยร่วมมิได้ให้การต่อสู้คดีในปัญหาดังกล่าวไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยร่วมข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน แต่ไม่คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลยทั้งสี่ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ.