แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยพร้อมด้วยทรัพย์ของกลางในคดีก่อนกับคดีนี้ในคราวเดียวกัน แต่ที่แยกฟ้องเพราะทรัพย์ของกลางทั้งสองคดีมีผู้เสียหายสองคน การที่จำเลยมิได้รับทรัพย์ของกลางในคดีนี้กับในคดีก่อนไว้คนละคราวกัน จึงเป็นการกระทำความผิดฐานรับของโจรกรรมเดียว เมื่อคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรแล้ว สิทธิที่โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยสำหรับความผิดฐานรับของโจรในคดีนี้จึงระงับไปตามป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน 2546 เวลาประมาณ 18 นาฬิกา ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2546 เวลากลางคืนหลังเที่ยง วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด มีคนร้ายเข้าไปในห้องพักอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของร้อยตำรวจเอกพิฑูร ชาวปลายนา ผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันควร โดยเข้าทางหน้าต่างห้องพักซึ่งทำขึ้นไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า แล้วลักเครื่องแปลภาษา 1 เครื่อง ราคา 7,500 บาท โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง ราคา 10,000 บาท และกางเกงยีน 1 ตัว ราคา 1,300 บาท รวมราคา 19,100 บาท (ที่ถูก 18,800 บาท) ของผู้เสียหาย เหตุเกิดที่แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ต่อมาวันที่ 10 ธันวาคม 2546 เวลากลางคืนหลังเที่ยง เจ้าพนักงานยึดตั๋วจำนำเครื่องแปลภาษา ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปอยู่ในความครอบครองของจำเลยเป็นของกลาง และต่อมาเจ้าพนักงานติดตามยึดเครื่องแปลภาษาจากโรงรับจำนำได้ ทั้งนี้จำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์ของผู้เสียหาย หรือมิฉะนั้น ช่วยซ้อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาไปเสีย หรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งเครื่องแปลภาษา อันเป็นทรัพย์ของผู้เสียหาย โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดเข้าลักษณะลักทรัพย์ เครื่องแปลภาษาของกลางผู้เสียหายได้รับคืนแล้ว เหตุเกิดที่แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 335, 357 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 11,300 บาท แก่ผู้เสียหาย ริบตั๋วจำนำและนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 292/2547 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหารับของโจร และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2910/2547 ของศาลชั้นต้น ในส่วนคำขอของโจทก์ที่ขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง ราคา 10,000 บาท และกางเกงยีน 1 ตัว ราคา 1,300 บาท รวมราคา 11,300 บาท แก่ผู้เสียหายนั้น เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานรับของโจร ความรับผิดทางแพ่งของจำเลยคงมีอยู่เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดทางอาญาฐานรับของโจรเท่านั้น เมื่อผู้เสียหายได้รับของกลางที่จำเลยรับของโจรไว้คืนไปแล้ว จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนตามคำขอของโจทก์ได้อีก ส่วนตั๋วจำนำมิใช่ทรัพย์ที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดหรือได้มาโดยการกระทำผิด ศาลไม่มีอำนาจริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำความผิดฐานรับของโจรของจำเลยในคดีนี้เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกับการกระทำความผิดฐานรับของโจรในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2910/2547 ของศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยถูกศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องคดีนี้ย่อมระงับไป เห็นว่าข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 14 กันยายน 2547 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2910/2547 ของศาลชั้นต้นว่าเจ้าพนักงานจับกุมจำเลยพร้อมด้วยทรัพย์ของกลางในคดีดังกล่าวกับคดีนี้ในคราวเดียวกัน แต่สาเหตุที่แยกฟ้องเพราะทรัพย์ของกลางทั้งสองคดีมีผู้เสียหายสองคน ดังนั้น เมื่อโจทก์มิได้นำสืบว่าจำเลยรับทรัพย์ของกลางในคดีนี้กับทรัพย์ของกลางในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2910/2547 ของศาลชั้นต้นไว้คนละคราวกัน ทั้งได้ความตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ซึ่งโจทก์มิได้คัดค้านว่าเพื่อนของจำเลยนำกระเป๋าบรรจุของกลางทั้งสองคดีนี้มาที่ห้องพักของจำเลยในคราวเดียวกันข้อเท็จจริงย่อมรับฟังได้ว่าจำเลยได้รับทรัพย์ของกลางในคดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2910/2547 ของศาลชั้นต้นไว้ในคราวเดียวกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองคดีจึงเป็นการกระทำความผิดฐานรับของโจรกรรมเดียว แต่โจทก์ได้แยกฟ้องจำเลยเป็นแต่ละคดีตามจำนวนผู้เสียหาย เมื่อจำเลยถูกฟ้องและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2910/2547 ของศาลชั้นต้นแล้ว สิทธิที่โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยสำหรับความผิดฐานรับของโจรในคดีนี้นั้นเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยตามฎีกาประการอื่นของจำเลยอีกต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.