แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยกระทำความผิดฐานยักยอก แม้จะเป็นความผิดที่ไม่ร้ายแรงนักและเป็นความผิดอันยอมความได้ แต่ได้กระทำโดยอาศัยโอกาสที่จำเลยได้รับมอบหมายหน้าที่และความไว้วางใจจากผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยให้เป็นผู้เก็บเงินจากลูกค้า อันเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง หลังจากที่จำเลยกระทำผิดและถูกจับมาดำเนินคดี จนศาลพิพากษาลงโทษ จำเลยก็หาได้บรรเทาผลร้ายให้แก่ผู้เสียหายไม่ การที่จำเลยนำเงิน 9,360 บาทไปวางไว้ที่สำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ ก็เป็นการกระทำหลังจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษจำเลยแล้ว การวางทรัพย์ของจำเลยจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะได้รับการรอการลงโทษจากศาลฎีกาเท่านั้นหาใช่มีเจตนาแท้จริงที่จะบรรเทาผลร้ายให้แก่ผู้เสียหายไม่ อีกทั้งผู้เสียหายก็ยังติดใจดำเนินคดีต่อจำเลยอยู่ กรณีจึงยังไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานขายของบริษัทซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีหน้าที่เบิกและรับมอบสินค้าของผู้เสียหายไปขายให้แก่ลูกค้า และเก็บเงินค่าสินค้าส่งมอบให้แก่ผู้เสียหาย จำเลยในฐานะตัวแทนของผู้เสียหายได้เก็บเงินค่าสินค้าประเภทเครื่องซักผ้าจากนางสุดใจ คำแก้วจำนวน 9,360 บาท เพื่อนำเงินค่าสินค้าดังกล่าวส่งมอบให้แก่ผู้เสียหายตามหน้าที่ แต่จำเลยไม่นำเงินส่งมอบให้แก่ผู้เสียหายโดยจำเลยได้เบียดบังยักยอกไปใช้เป็นประโยชน์ของจำเลยโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 9,360 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 (ที่ถูกมาตรา 352 วรรคแรก)ลงโทษจำคุก 1 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 15 วัน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 9,360 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกสถานเบา กับไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาขอให้ไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังและรอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกแม้จะเป็นความผิดที่ไม่ร้ายแรงนัก และเป็นความผิดอันยอมความได้ แต่ก็ได้กระทำโดยอาศัยโอกาสที่จำเลยได้รับมอบหมายหน้าที่และความไว้วางใจจากผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยให้เป็นผู้เก็บเงินจากลูกค้าซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งและหลังจากที่จำเลยกระทำผิดและต่อมาได้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับมาดำเนินคดีจนศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลย จำเลยก็หาได้บรรเทาผลร้ายให้แก่ผู้เสียหายไม่ การที่จำเลยนำเงินจำนวน 9,360 บาทไปวางทรัพย์ไว้ที่สำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ศาลจังหวัดพิษณุโลกก็เป็นการกระทำหลังจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยแล้ว การวางทรัพย์ของจำเลยจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะได้รับการรอการลงโทษจากศาลฎีกาเท่านั้นหาใช่มีเจตนาแท้จริงที่จะบรรเทาผลร้ายให้แก่ผู้เสียหายดังที่จำเลยฎีกาไม่ อีกทั้งผู้เสียหายก็ยังติดใจดำเนินคดีต่อจำเลยอยู่ กรณียังไม่มีเหตุสมควรให้รอการลงโทษตามที่จำเลยฎีกาที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำคุกและให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังนั้น นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน