แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ในการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาท เมื่อผู้ซื้อทรัพย์ให้ราคาสูงสุด 3,000,000 บาท ช.เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้เคาะไม้ขายไปในราคาดังกล่าว แต่ได้ปรึกษาป.รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ภูมิภาคที่ 3 แล้วป.เห็นว่า เพื่อรักษาประโยชน์ของคู่ความให้ได้ราคาสูงสุดจึงให้ ช.ออกมาถามว่าจะมีใครให้ราคาสูงกว่าที่ผู้ซื้อทรัพย์เสนอไว้อีกหรือไม่ ปรากฏว่าผู้ซื้อทรัพย์เสนอเพิ่มราคาเป็น3,500,000 บาท ป.จึงอนุมัติให้ ช.เคาะไม้ขายให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ไปในราคาดังกล่าว ถือได้ว่า ช.ได้กระทำต่อเนื่องตามระเบียบและเปิดโอกาสให้ผู้อื่นเข้าสู้ราคากันอย่างเต็มที่เป็นการขายทอดตลาดที่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อผู้ซื้อทรัพย์ให้ราคาสูงสุด 3,000,000 บาท ช.เจ้าพนักงานบังคับคดี มิได้เพียงแต่แจ้งแก่ผู้สู้ราคาว่าราคาที่ผู้ซื้อทรัพย์เสนอไว้สูงสุดนั้นต่ำไปเท่านั้น หากแต่ได้ถามผู้สู้ราคาซึ่งอยู่ในขณะนั้นประมาณ 20 คนว่าจะมีใครให้ราคาสูงกว่าที่ผู้ซื้อทรัพย์เสนออีกหรือไม่ และดำเนินการขายทอดตลาดต่อไปจนในที่สุดได้เคาะไม้ขายให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ซึ่งได้เพิ่มราคาสูงสุดเป็น 3,500,000 บาท การที่ช.ผู้ทอดตลาดแจ้งแก่ผู้สู้ราคาว่า ราคานั้นต่ำไปจะมีใครให้ราคาสูงกว่านี้อีกหรือไม่ จึงยังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการขายทอดตลาดเพื่อรักษาประโยชน์ของคู่ความให้ได้ราคาสูงสุด มิใช่เป็นการที่ผู้ทอดตลาดถนนทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยปริยาย การขายทอดตลาดทรัพย์เพื่อนำเงินที่ขายได้มาชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีข้อที่จะต้องพิจารณาว่าสมควรจะอนุมัติให้ขายแก่ผู้ให้ราคาสูงสุดหรือไม่อยู่ 2 ประการ ประการแรกราคาทรัพย์ที่แท้จริงประมาณเท่าใด ประการที่สอง สมควรจะขายได้แล้วหรือไม่ปรากฏว่าตั้งแต่โจทก์เริ่มฟ้องคดีจนถึงวันขายทอดตลาดได้ เป็นเวลาเกือบ 3 ปี ได้ทำการขายทอดตลาดมาเป็นครั้งที่ 11และราคาที่ผู้ซื้อทรัพย์ประมูลได้ก็สูงกว่าราคาปานกลางที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประเมินไว้ อีกทั้งยังสูงกว่าราคาที่ผู้แทนโจทก์เคยกำหนดว่าควรขายได้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงสมควรอนุมัติขายได้แล้ว การปฏิบัติของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงชอบแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดเป็นเงิน 1,011,881.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี นับแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2530จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ชำระหนี้เงินยืมเป็นเงิน 966,666.16 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีในต้นเงิน 641,443.32 บาทนับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และชำระหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน 700,431.49 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีในต้นเงิน 500,000 บาท นับแต่วันที่ 13พฤศจิกายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้จนครบ จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1512 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนายธวัชชัย วงศ์วานิชกังวาฬ เป็นผู้ซื้อได้ในราคา 3,500,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องว่า การขายทอดตลาดไม่ชอบ ผู้เข้าสู้ราคามีเพียง 2 คน ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน มีผลประโยชน์ร่วมกันและสมรู้หรือฮั้วกันในการประมูล ทำให้การขายทอดตลาดได้ราคาต่ำมากขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาด
โจทก์ยื่นคำร้องว่า การขายทอดตลาดไม่ชอบ เพราะผู้ซื้อเป็นฝ่ายเดียวกัน สมรู้กันประมูลซื้อทรัพย์โดยไม่สุจริต การขายทอดตลาดไม่ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบ ราคาที่ขายต่ำกว่าราคาจริง ขอให้เพิกถอนคำสั่งขายของเจ้าพนักงานบังคับคดีและประกาศขายทอดตลาดใหม่
ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า ราคาที่ขายเป็นราคาที่เหมาะสมกับทรัพย์ที่ขาย ที่จำเลยกล่าหาว่าโจทก์ฉ้อฉลหรือหลอกลวงจำเลยไม่มีผลต่อการขายทอดตลาด ขอให้ยกคำร้องของจำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 1512 ตำบลหนองจะบก อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมาพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ผู้ซื้อทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ในประการแรกว่า การขายทอดตลาดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ นายอรัญ เจียกงูเหลือม พยานจำเลยเบิกความว่าในวันนั้นมีผู้เข้าสู้ราคาเพียง 2 คน ผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ให้ราคาสูงสุด 3,000,000 บาท พยานในฐานะผู้แทนโจทก์คัดค้านว่าราคายังต่ำอยู่ นายชาตรี สุทธิวานิช เจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ทอดตลาดทำรายงานเสนอต่อนายปกรณ์ พูลทวี รักษาราชการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ภูมิภาคที่ 3 ขณะนั้นผู้เข้าสู้ราคารายอื่นกลับไปหมดแล้ว คงเหลือแต่พยานและฝ่ายผู้ซื้อทรัพย์อยู่รอฟังว่าจะอนุมัติขายหรือไม่ รออยู่ประมาณ15 นาที นายชาตรี สุทธิวานิช ออกมาพบกับผู้ซื้อทรัพย์แล้วบอกว่าราคา 3,000,000 บาท ไม่สามารถขายได้ ถ้าให้ราคาเพิ่มเป็น 3,600,000 บาท จะพิจารณาให้ผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ซื้อทรัพย์ได้โดยนายชาตรี สุทธิวานิช ไม่ได้ประกาศคำพูดดังกล่าวให้บุคคลทั้งหลายได้ยิน เพียงพูดเป็นส่วนตัวระหว่างนายชาตรี สุทธิวานิชกับผู้ซื้อทรัพย์ หลังจากนั้นผู้ซื้อทรัพย์ได้ปรึกษากับนายชาตรีวงศ์วนิชกังวาฬ ซึ่งเป็นพี่น้องกันว่าจะสู้ราคาเท่าไร ในที่สุดตกลงว่าจะซื้อทรัพย์ในราคา 3,500,000 บาท แล้วผู้ซื้อทรัพย์นายชาตรี วงศ์วนิชกังวาฬ และนายสมบัติ ศิริเจริญ พากันเดินเข้าไปในห้องสำนักงานบังคับคดี ประมาณ 5 นาที นายชาตรี สุทธิวานิชออกมาประกาศว่าผู้ซื้อทรัพย์ให้ราคาสูงสุด 3,500,000 บาท ขณะนั้นนอกจากผู้ซื้อทรัพย์แล้วก็ไม่มีผู้เข้าสู้ราคารายอื่นอยู่อีกเนื่องจากกลับไปหมดแล้ว เพราะการขายทอดตลาดทรัพย์คดีนี้เป็นการขายทอดตลาดรายสุดท้ายในวันนั้น ตามคำเบิกความของนายอรัญพยานจำเลยดังกล่าวพอสรุปได้ว่า โจทก์จำเลยอ้างเหตุว่าการขายทอดตลาดไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อทรัพย์เสนอไว้ 3,000,000 บาทยังต่ำอยู่ จึงเรียกผู้ซื้อทรัพย์ไปตกลงเพิ่มราคาทรัพย์เป็น3,500,000 บาท นั้นเป็นการต่อรองราคาระหว่างผู้ซื้อทรัพย์กับเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นเข้าสู้ราคาปัญหาที่จะพิจารณามีว่าคำเบิกความของนายอรัญมีน้ำหนักเชื่อถือได้เพียงใดเห็นว่าจำเลยมีเพียงนายอรัญมาเบิกความลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมานำสืบสนับสนุน แต่ฝ่ายผู้ซื้อทรัพย์มีตัวผู้ซื้อทรัพย์เบิกความว่าในการขายทอดตลาดทรัพย์สินพิพาทนี้มีคนมาประมูลประมาณ 20 คน พยานให้ราคาสูงสุด 3,000,000 บาทเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้เคาะไม้ขายในราคาดังกล่าว ได้เดินเข้าไปในห้องผู้อำนวยการ สักครู่หนึ่งกลับออกมาแจ้งให้ผู้ซื้อทรัพย์และพวกที่ยืนอยู่ประมาณ 20 คนทราบว่าทรัพย์ที่ประมูลรายนี้ให้ราคาต่ำไป มีใครจะให้ราคาสูงกว่านี้ไหม ผู้ซื้อทรัพย์เสนอราคา 3,500,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีบอกให้รอก่อนแล้วเข้าไปปรึกษาผู้อำนวยการ สักครู่กลับออกมาประกาศว่าสามล้านห้าหนึ่ง สามล้านห้าสอง สามล้านห้าสาม แล้วเคาะไม้ประกาศว่าผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ซื้อทรัพย์ได้ โดยมีนายปกรณ์ พูลทวีรักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ภูมิภาคที่ 3 มาเบิกความสนับสนุนว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ทอดตลาดทรัพย์คดีนี้นำราคาที่ผู้ซื้อทรัพย์เสนอสูงสุดมาเสนอต่อพยาน พยานพิจารณาแล้วเห็นว่าราคา 3,000,000 บาท สูงกว่าราคาประเมิน แต่การขายทอดตลาดเป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานเพื่อรักษาประโยชน์ของคู่ความให้ได้ราคาสูงสุด พยานจึงให้เจ้าพนักงานขายทอดตลาดออกมาถามว่ามีใครจะให้ราคาสูงกว่าที่ผู้ซื้อทรัพย์เสนอหรือไม่ ปรากฏว่าผู้ซื้อทรัพย์เสนอราคาขึ้นมาเป็น 3,500,000 บาท พยานจึงสั่งอนุญาตให้ขายไป จากนั้นเจ้าพนักงานขายทอดตลาดได้กลับออกไปประกาศขายทอดตลาดและนับหนึ่งถึงสามแล้วเคาะไม้ขายให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ และนายปกรณ์ได้เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยด้วยว่าขณะที่มีการต่อรองราคาทรัพย์ครั้งที่สองมีประชาชนยืนอยู่ประมาณ 20 กว่าคนการขายทอดตลาดทรัพย์คดีนี้ไม่ใช่ขายรายสุดท้าย จะมีการขายทรัพย์รายอื่นอีก ดังนี้เห็นว่าคำเบิกความของนายปกรณ์สอดคล้องต้องกันกับคำเบิกความของผู้ซื้อทรัพย์ นายปกรณ์เป็นเจ้าพนักงานเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงไปตามอำนาจหน้าที่ที่ได้ปฏิบัติมา และทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏว่าพยานมีส่วนได้เสียกับคู่ความฝ่ายใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามคำเบิกความที่ว่าผู้ซื้อทรัพย์ให้ราคาสูงสุด 3,000,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาประเมินแล้วแต่พยานยังให้เจ้าพนักงานผู้ทอดตลาดซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานออกไปถามว่ามีใครจะให้ราคาสูงกว่าที่ผู้ซื้อทรัพย์เสนอหรือไม่เป็นเหตุให้ผู้ซื้อทรัพย์เสนอราคาเพิ่มขึ้นเป็น 3,500,000 บาทและพยานได้อนุมัติให้ขายไปในราคาดังกล่าวซึ่งถือได้ว่าเป็นการที่พยานได้ใช้ดุลพินิจดำเนินการขายทอดตลาดเพื่อรักษาประโยชน์ของคู่ความให้ได้ราคาสูงสุดอย่างแท้จริง ดังนั้นคำเบิกความของพยานซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติราชการตามหน้าที่เช่นนี้ย่อมมีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง และเมื่อได้วินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทุกฝ่ายแล้ว เห็นว่าพยานหลักฐานฝ่ายผู้ซื้อทรัพย์ประกอบด้วยเหตุผลมีน้ำหนักรับฟังเชื่อถือได้ดีกว่าพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์และจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ตามพยานหลักฐานของผู้ซื้อทรัพย์ว่า ในการขายทอดตลาดทรัพย์รายนี้ เมื่อผู้ซื้อทรัพย์ให้ราคาสูงสุด 3,000,000 บาท นายชาตรี สุทธิวานิชเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้เคาะไม้ขายไปในราคาดังกล่าวแต่ได้ปรึกษานายปกรณ์ พูลทวี รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ภูมิภาคที่ 3 แล้วนายปกรณ์เห็นว่าแม้ราคาที่ผู้ซื้อทรัพย์เสนอไว้ 3,000,000 บาท จะสูงกว่าราคาประเมิน แต่เพื่อรักษาประโยชน์ของคู่ความให้ได้ราคาสูงสุดนายปกรณ์จึงให้เจ้าพนักงานบังคับคดีออกมาถามว่าจะมีใครให้ราคาสูงกว่าที่ผู้ซื้อทรัพย์เสนอไว้อีกหรือไม่ ปรากฏว่าผู้ซื้อทรัพย์เสนอเพิ่มราคาเป็น 3,500,000 บาท นายปกรณ์จึงอนุมัติให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเคาะไม้ขายให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ไปในราคาดังกล่าว การดำเนินการขายทอดตลาดเช่นนี้ถือได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำต่อเนื่องตามระเบียบและเปิดโอกาสให้ผู้อื่นเข้าสู้ราคากันอย่างเต็มที่ จึงเป็นการขายทอดตลาดที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ทอดตลาดแจ้งแก่ผู้สู้ราคาว่าราคา3,000,000 บาทนั้นต่ำไปก็แสดงว่าผู้ทอดตลาดเห็นว่า ราคาซึ่งมีผู้สู้สูงสุดนั้นยังไม่เพียงพอจึงถือได้โดยปริยายว่าผู้ทอดตลาดถอนทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดแล้วนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ทั้งนี้เพราะตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้เป็นยุติดังที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น นายชาตรี สุทธิวานิช เจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้เพียงแต่แจ้งแก่ผู้สู้ราคาว่าราคา 3,000,000 บาทที่ผู้ซื้อทรัพย์เสนอไว้สูงสุดนั้นต่ำไปเท่านั้น หากแต่ได้ถามผู้สู้ราคาซึ่งอยู่ในขณะนั้นประมาณ 20 คนว่าจะมีใครให้ราคาสูงกว่าที่ผู้ซื้อทรัพย์เสนออีกหรือไม่และดำเนินการขายทอดตลาดต่อไปจนในที่สุดได้เคาะไม้ขายให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ซึ่งได้เพิ่มราคาสูงสุดเป็น 3,500,000 บาท เช่นนี้ เห็นว่าการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ทอดตลาดแจ้งแก่ผู้สู้ราคาว่า 3,000,000 บาท นั้นต่ำไปจะมีใครให้ราคาสูงกว่านี้อีกหรือไม่ จึงยังอยู่ในขั้นตอนของดำเนินการขายทอดตลาดเพื่อรักษาประโยชน์ของคู่ความให้ได้ราคาสูงสุด มิใช่เป็นการที่ผู้ทอดตลาดถอนทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยปริยายดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ฟังขึ้นเมื่อได้วินิจฉัยดังนี้แล้วคดีจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ในประการต่อไปว่า ราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายไปดังกล่าวนั้นต่ำเกินไปหรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อนี้มา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียว โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนคืนกลับไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่ ประเด็นข้อนี้จำเลยอ้างว่าศาลเคยตีราคาตอนที่จำเลยขออุทธรณ์อย่างอนาถาว่าราคาประมาณ 5 ล้านบาท เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาที่ดินตารางวาละ 500 บาท เป็นเงินค่าที่ดิน 1,320,000 บาท ราคาสิ่งปลูกสร้าง 1,115,000 บาท รวมราคา 2,435,000 บาทผู้แทนโจทก์ซึ่งนำยึดที่พิพาทก็เห็นด้วยกับราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีโจทก์นำยึดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2531เริ่มขายทอดตลาดครั้งที่ 1 วันที่ 29 เมษายน 2531 ไม่มีผู้ให้ราคา ครั้งที่ 2 วันที่ 6 มิถุนายน 2531 ไม่มีผู้ให้ราคาครั้งที่ 3 วันที่ 8 กรกฎาคม 2531 มีผู้ให้ราคา 2,650,000 บาทผู้แทนโจทก์ค้านว่าราคายังต่ำไม่คุ้มกับหนี้ของโจทก์ควรขายได้ในราคา 3,100,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นด้วยจึงงดการขายแล้วประกาศขายใหม่ ครั้งที่ 4 วันที่ 18 สิงหาคม 2531 โจทก์ของดู การขาย ครั้งที่ 5 วันที่ 23 กันยายน 2531 ไม่มีผู้ให้ราคา ครั้งที่ 6 วันที่ 28 ตุลาคม 2531 ไม่มีผู้ให้ราคาครั้งที่ 7 วันที่ 9 ธันวาคม 2531 ไม่มีผู้ให้ราคา ครั้งที่ 8วันที่ 15 พฤษภาคม 2532 ไม่มีผู้ให้ราคา ครั้งที่ 9 วันที่ 3กรกฎาคม 2532 ไม่มีผู้ให้ราคา ครั้งที่ 10 วันที่ 28 พฤศจิกายน2532 โจทก์ของดู การขาย ครั้งที่ 11 วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2533ซึ่งผู้ซื้อทรัพย์ให้ราคา 3,500,000 บาท และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้เคาะไม้ตกลงขาย เห็นว่า เรื่องขายทอดตลาดทรัพย์เพื่อนำเงินที่ขายได้มาชำระหนี้ให้เจ้าหนี้นี้มีข้อที่จะต้องพิจารณาอยู่ 2 ประการ ประการแรก ราคาทรัพย์ที่แท้จริงประมาณเท่าใดประการที่สอง สมควรจะขายได้แล้วหรือไม่ เรื่องราคาทรัพย์นั้นฝ่ายผู้ซื้อมีเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ทางราชการตามหน้าที่ไม่มีส่วนได้เสียในการยึดทรัพย์ได้ประเมินราคาไว้ขณะทำการยึดว่าราคาที่ดิน 1,320,000 บาทราคาสิ่งปลูกสร้าง 1,115,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,435,000 บาทซึ่งผู้แทนโจทก์ที่นำยึดก็เห็นด้วยในราคานี้ ต่อมาในการขายทอดตลาดครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2531มีผู้ให้ราคา 2,650,000 บาท ผู้แทนโจทก์ก็คัดค้านว่าราคาต่ำไปควรขายได้ในราคา 3,100,000 บาท เจ้าพนักงานก็ถอนทรัพย์จากการขายทอดตลาด แล้วประกาศขายต่อไป ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวมีทั้งราคาประเมินขณะทำการยึดและราคาที่โจทก์เห็นว่าควรขายได้เห็นว่า ราคาที่โจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินน่าจะมีน้ำหนักมากกว่าราคาที่จำเลยประเมิน ทั้งนี้เพราะจำเลยเป็นเจ้าของที่พิพาท ย่อมไม่อยากให้ที่ดินหรือทรัพย์สินของตนต้องตกไปเป็นของบุคคลอื่นจึงตีราคาสูงมากข้อพิจารณาที่สองเรื่องสมควรขายแล้วหรือไม่ ปรากฏว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2530 ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีเมื่อวันที่ 10พฤศจิกายน 2530 โจทก์นำยึดทรัพย์เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2531และได้ทำการขายทอดตลาดเป็นครั้งที่ 11 เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์2533 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ซื้อทรัพย์ให้ราคาสูงสุด เห็นว่าตั้งแต่โจทก์เริ่มฟ้องคดีจนถึงวันขายทอดตลาดได้ เป็นเวลาเกือบ 3 ปีได้ทำการขายทอดตลาดมาเป็นครั้งที่ 11 และราคาที่ผู้ซื้อทรัพย์ประมูลได้ก็สูงกว่าราคาปานกลางที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประเมินไว้ อีกทั้งยังสูงกว่าราคาที่ผู้แทนโจทก์เคยกำหนดว่าควรขายได้ ศาลฎีกาเห็นว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีสมควรอนุมัติขายได้แล้ว หากฟังแต่คำคัดค้านของจำเลยแต่ฝ่ายเดียว เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ไม่สามารถปฏิบัติราชการให้ลุล่วงไปได้ การปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงชอบแล้ว ความเห็นของศาลล่างทั้งสอง ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง ของ โจทก์และจำเลยเสีย