คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2617/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ห้ามปรามมิให้จำเลยนำดินมาถมในที่ดินพิพาทและไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในทันทีว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์และเจ้าหน้าที่ที่ดินรังวัดสำรวจแล้วสรุปว่าที่ดินพิพาทน่าจะอยู่ในเขต น.ส.3 ก. ของโจทก์ เป็นการสนับสนุนความเชื่อของโจทก์ที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์จึงเชื่อโดยสุจริตว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ที่โจทก์เข้าไปปักเสาขึงลวดหนามในที่ดินพิพาทและคัดค้านไม่ให้จำเลยใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตมิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำให้จำเลยเสียหายไม่เป็นละเมิด

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน
โจทก์ในสำนวนแรกฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1738 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2531 จำเลยกับพวกได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินดังกล่าวด้านทิศใต้ โดยมีเจตนายึดถือครอบครองที่ดินเป็นของจำเลย ขอให้พิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1738 ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้จำเลยรื้อถอนเสาและสังกะสีออกไปจากที่ดินดังกล่าว หากจำเลยไม่กระทำ ให้โจทก์รื้อถอนได้โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ให้จำเลยปรับที่ดินและแนวรั้วคอนกรีตให้อยู่ในสภาพเดิม
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามน.ส.3 ก. เลขที่ 1929 ที่ดินแปลงนี้มีอาณาเขตด้านทิศเหนือบางส่วนจดกับที่ดินของโจทก์ โดยมีกำแพงคอนกรีตเป็นแนวเขต จำเลยสร้างรั้วสังกะสีบนกำแพงคอนกรีตเป็นการกระทำในอาณาเขตที่ดินของจำเลยหาได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ไม่ ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างพิจารณาจำเลยขอให้เรียกนางละออ ธงฉิมพลีเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า ที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1929จำเลยร่วมได้รับมรดกมาจากนายเหลือบิดาเมื่อปี 2529 โดยนายเหลือซื้อมาจากนายบุญมาเมื่อปี 2526 หลังจากนั้นก็ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาและได้ก่อสร้างแนวรั้วเขตที่ดินโดยนายอิ่มผู้ครอบครองที่ดินซึ่งต่อมาได้ขายให้แก่โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านและเมื่อโจทก์ซื้อที่ดินมาแล้วก็มิได้โต้แย้งคัดค้าน ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ในสำนวนหลังฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1929 ที่ดินแปลงนี้มีแนวเขตบางส่วนจดกับที่ดินของจำเลย ซึ่งเดิมเป็นของนายอิ่ม มีกำแพงคอนกรีตซึ่งนายอิ่มเป็นผู้ก่อสร้าง ตั้งแต่นายอิ่มซื้อที่ดินมาจากนายบุญมาเป็นแนวเขต เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2530 จำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปปักเสาขึงลวดหนามในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ109 ตารางวา ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ที่ดินทำประโยชน์ในทางธุรกิจโดยการก่อสร้างโรงแรม และสถานที่จอดรถยนต์สำหรับผู้มาใช้บริการขอให้บังคับให้จำเลยรื้อถอนเสาและลวดหนามที่จำเลยกับพวกนำมาสร้างไว้ในที่ดินของโจทก์ออกไป พร้อมปรับสภาพที่ดินให้คงเดิมหากจำเลยไม่กระทำให้โจทก์ดำเนินการได้โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและห้ามให้จำเลยเข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน 109,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จให้จำเลยใช้ค่าเสียหายวันละ 1,500 บาท นับแต่วันนัดจากวันฟ้องจนถึงครบเวลา6 เดือน จากวันที่จำเลยรื้อถอนเสาและลวดหนามออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทซึ่งมีเนื้อที่ 109 ตารางวาเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1738 ซึ่งจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง จำเลยขึงลวดหนามกั้นเขตที่ดินตามแนวเขตที่ดินของจำเลยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2530 เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดรุกล้ำที่ดินของจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายใด ๆ จากจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกและจำเลยในสำนวนหลังว่าโจทก์ จำเลยในสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนหลังว่าจำเลยที่ 1จำเลยร่วมในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ห้ามโจทก์เกี่ยวข้อง ให้โจทก์รื้อถอนเสารั้วและลวดหนามออกจากที่ดินพิพาทให้โจทก์ใช้เงินจำนวน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2531 จนถึงวันชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1 และใช้ค่าเสียหายวันละ 300 บาท นับแต่วันที่25 สิงหาคม 2531 จนกว่าจะรื้อถอนเสารั้วออกไปจากที่ดินพิพาทให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 สำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายนั้น เห็นว่า น.ส.3 ก.เลขที่ 1738 ของโจทก์ระบุว่ามีเนื้อที่ 135 ตารางวา ส่วนที่ดินพิพาทกับที่ดินในส่วนที่มีบ้านโจทก์ปลูกอยู่ซึ่งทั้งสองส่วนนี้โจทก์อ้างว่าเป็นที่ดินอยู่ในแนวเขต น.ส.3 ก. เลขที่ 1738ของโจทก์รวมกันแล้วมีเนื้อที่ 171 ตารางวา ใกล้เคียงกับเนื้อที่ดินตามที่ระบุใน น.ส.3 ก. เลขที่ 1738 ของโจทก์ แต่หากหักที่ดินพิพาทจำนวน 105 ตารางวา ออกแล้ว ที่ดินของโจทก์เหลือเพียง 66 ตารางวาน้อยกว่าเนื้อที่ที่ระบุใน น.ส.3 ก. เลขที่ 1738 กว่าครึ่งหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นเหตุที่ทำให้โจทก์เชื่อว่าที่ดินพิพาทอยู่ในแนวเขตที่ดินของ น.ส.3 ก. เลขที่ 1738 ของโจทก์ ดังเห็นได้จากกรณีเมื่อจำเลยที่ 1 นำดินมาถมที่ดินพิพาท โจทก์ได้ห้ามปรามมิให้จำเลยที่ 1 นำดินมาถมในที่ดินพิพาทและไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในทันทีว่าจำเลยที่ 1 บุกรุกที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำขอต่อนายอำเภอปักธงชัยให้ไปรังวัดตรวจสอบเนื้อที่ นายอำเภอปักธงชัยสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่ดินอำเภอปักธงชัยออกไปทำการรังวัดสำรวจแล้วสรุปว่าที่ดินพิพาทน่าจะอยู่ในเขต น.ส.3 ก. เลขที่ 1738 ของโจทก์พร้อมแจ้งให้โจทก์และจำเลยทราบแล้วเป็นการสนับสนุนความเชื่อของโจทก์ที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ศาลฎีกาเชื่อว่า โจทก์เชื่อโดยสุจริตว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ที่โจทก์เข้าไปปักเสาขึงลวดหนามในที่ดินพิพาทและคัดค้านไม่ให้จำเลยที่ 1 ใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยที่ 1 เสียหาย ไม่เป็นละเมิด จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ 1 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่ขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share