คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2614/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรส และจำเลยให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อนายทะเบียนสมรสว่า จำเลยยังไม่เคยสมรสมาก่อน ความจริงจำเลยเป็นคู่สมรสกับหญิงอื่นอยู่แล้ว ซึ่งโจทก์ไม่ทราบ นายทะเบียนสมรสจดทะเบียนสมรสให้เพราะเชื่อถ้อยคำของจำเลย ดังนี้ ผลจากการจดทะเบียนสมรสย่อมทำให้การสมรสนั้นสมบูรณ์ ทำให้โจทก์เปลี่ยนฐานะไปเป็นหญิงมีสามี การแจ้งข้อควมอันเป็นเท็จของจำเลยจึงเกี่ยวกับฐานะของบุคคลของโจทก์ที่ได้เปลี่ยนไปในขณะนั้น ถ้อยคำของจำเลยจึงกระทบกระเทือนถึงความเป็นอยู่ของโจทก์ด้วย การจดทะเบียนสมรสนั้นผิดเงื่อนไขแห่งการสมรส เป็นโมฆะ และฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1451 ถ้ามีบุคคลอ้างและศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะ โจทก์อาจได้รับความเสียหายเพราะตกอยู่ในฐานะเป็นหญิงมีสามีไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อโจทก์ไม่มีส่วนร่วมในการกระทำผิดของจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจแจ้งความเท็จแก่นายพายัพ อรุณฤกษ์ นายทะเบียนสมรสและเป็นเจ้าพนักงานว่า จำเลยยังไม่เคยสมรส นายพายัพ ได้จดทะเบียนสมรสให้โจทก์จำเลย ความจริงจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวลำดวน สังขเนตร อยู่แล้ว และยังมิได้หย่าขาดจากกัน เป็นเหตุให้โจทก์และนายพายัพเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗
ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีมีมูล ให้รับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย และไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ จำคุกหนึ่งเดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงว่า ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รู้อยู่ก่อนโจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสกันว่า จำเลยมีนางลำดวนเป็นภรรยาชอบด้วยกฎหมายอยู่ และวินิจิฉัยว่า โจทก์จำเลยยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรส และให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อนายทะเบียนสมรสพร้อมกันทั้งสองฝ่าย นายทะเบียนสมรสอำเภอพญาไทยจดทะเบียนสมรสให้โจทก์จำเลยก็เพราะเชื่อถ้อยคำของจำเลยที่ว่าไม่เคยสมรสมาก่อนผลที่เกิดจากการจดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๙๙ ย่อมทำให้การสมรสนั้นสมบูรณ์ ทำให้โจทก์เปลี่ยนฐานะบุคคลของตนไปเป็นหญิงมีสามีโดยผลของกฎหมาย การแจ้งข้อความอันเป็นเท็จของจำเลยเกี่ยวกับฐานะบุคคลของโจทก์ที่ได้เปลี่ยนไปในขณะนั้นดังกล่าวหาใช่จะเกี่ยวกับฐานะส่วนตัวของจำเลยแต่ฝ่ายเดียวไม่ และถ้อยคำของจำเลยในเรื่องเคยสมรสมาก่อนหรือไม่ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการที่นายทะเบียนสมรสจะจดทะเบียนสมรสให้โจทก์จำเลยนั่นเอง จึงกระทบกระเทือนถึงความเป็นอยู่ของโจทก์ด้วย เมื่อจำเลยเป็นคู่สมรสชอบด้วยกฎหมายของนางลำดวนอยู่แล้ว การจดทะเบียนระหว่างโจทก์จำเลยย่อมผิดเงื่อนไขแห่งการสมรสตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๔๕(๓) ซึ่งประกอบกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๙๐ ให้ถือว่ากรสมรสนั้นเป็นโมฆะ และเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๕๑ กรณีเป็นที่เห็นได้ว่า เมื่อมีบุคคลอ้างว่าการสมรสเป็นโมฆะ และศาลพิพากษาว่าเป็นเช่นนั้น โจทก์อาจได้รับความเสียหายเพราะตกอยู่ในฐานะเป็นหญิงมีสามีไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลย ดังนี้ เมื่อโจทก์ไม่มีส่วนร่วมในการกระทำผิดของจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒(๔) มีอำนาจฟ้องคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๘
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ ให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
(ประพจน์ ถิระวัฒน์ สมคิด มงคลชาติ ไพโรจน์ ไวกาสี)

Share