แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีก่อน จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้เงินกู้ คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดย โจทก์ทั้งสองยอมชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามฟ้องและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาโจทก์ทั้งสองมาฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ในคดีก่อน และพิพากษาว่า คำพิพากษาในคดีนั้นไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองโดยอ้างว่าทำไปเพราะสำคัญผิดว่าลูกหนี้ยังไม่ได้ชำระเงินกู้ให้จำเลยซึ่งความจริงลูกหนี้ชำระให้เสร็จสิ้นแล้ว ดังนี้หาได้ไม่เพราะคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนนั้นย่อมผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษานับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษาได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสียถ้าหากมีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเคยร่วมกันค้ำประกันนายอุม๊าส หรือม๊าสหรือ อุมาร หมื่นนรินทร์ ในการที่นายอุม๊าสกู้เงินจากจำเลย ๕,๐๐๐ บาทต่อมาจำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้องทั้งสองต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเรียกเงินกู้ดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยโดยจำเลยไม่ได้ฟ้องนายอุม๊าสด้วยเป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อว่านายอุม๊าสผิดสัญญาจริง จึงได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ยอมชำระหนี้ให้จำเลยตามฟ้องและศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ ๓๘/๒๕๑๓ต่อมาโจทก์ทั้งสองพบนายอุม๊าสลูกหนี้ของจำเลยได้ทราบว่านายอุม๊าสชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่นายสง่า ทองพูน บิดาจำเลยซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยไปแล้วก่อนมีการฟ้องคดี การที่โจทก์ทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นการสำคัญผิดในสารสำคัญว่านายอุม๊าสยังไม่ได้ชำระหนี้ให้จำเลยซึ่งไม่มีผลตามกฎหมาย ขอให้พิพากษาเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๘/๒๕๑๓ของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และพิพากษาว่าคำพิพากษานั้นไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองอีกต่อไป
จำเลยให้การว่าสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๘/๒๕๑๓ ถูกต้องแล้ว ผู้กู้และผู้ค้ำประกันไม่เคยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้ผู้ให้กู้เลยหากตัวแทนของจำเลยรับเงินไว้จริงก็เป็นการรับเงินตามสัญญากู้รายอื่น
ศาลชั้นต้นฟังว่า นายอุม๊าสได้ชำระหนี้ให้จำเลยแล้ว โจทก์ทั้งสองยอมชำระหนี้ตามฟ้องก็โดยเข้าใจผิดว่านายอุม๊าสยังไม่ชำระซึ่งเป็นการเข้าใจผิดในสารสำคัญแห่งนิติกรรม พิพากษาให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยในคดีแพ่งแดงที่ ๓๘/๒๕๑๓เสีย และไม่ให้คำพิพากษาในคดีดังกล่าวผูกพันโจทก์ทั้งสองต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์จำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๘/๒๕๑๓ ของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลและศาลเห็นว่าชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๘ คำพิพากษาของศาลในคดีนั้นย่อมผูกพันโจทก์จำเลยผู้เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษานับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษาได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข กลับ หรืองดเสีย ถ้าหากมีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๕ เมื่อคำพิพากษาในคดีนั้นถึงที่สุดแล้วโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข กลับ หรืองด โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีนั้นจะมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ และพิพากษาว่าคำพิพากษาในคดีนั้นไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสอง โดยอ้างว่าได้ทำไปเพราะสำคัญผิดไม่ได้ เพราะโจทก์เป็นคู่ความซึ่งต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีนั้น ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๓๒/๒๔๙๖ ข้อนี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมาเมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕), ๒๔๖, ๒๔๗
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์