คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11699/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะที่เป็นผู้ขนส่งสินค้าตามสัญญารับขนสินค้าตามฟ้อง ไม่ได้ฟ้องให้รับผิดในมูลละเมิด คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทให้ต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว การที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ผู้กระทำละเมิดทำให้สินค้าเสียหายเป็นคนขับเรือลากจูง จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ผู้ทำละเมิด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อที่ไม่ได้ยกว่ากันมาแล้วโดยชอบ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 38 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 225
จำเลยที่ 1 รับจ้างขนส่งสินค้าเหล็กม้วนรีดเย็นให้กับบริษัท ท. จากท่าเรือกรุงเทพไปยังโรงพักสินค้าของบริษัทดังกล่าวที่จังหวัดสมุทรปราการ อันเป็นการขนส่งภายในประเทศ ที่ต้องใช้บทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 616 บังคับ ซึ่งมาตราดังกล่าวบัญญัติให้ผู้ขนส่งจะต้องรับผิดในการที่ของอันเขาได้มอบหมายแก่ตนสูญหายหรือบุบสลายหรือส่งมอบชักช้า เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าความเสียหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัย เมื่อปรากฏว่าสินค้าที่รับขนส่งได้รับความเสียหาย จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะต้องพิสูจน์นำสืบพยานหลักฐานแสดงข้อเท็จจริงให้รับฟังได้ว่าความเสียหายของสินค้าเกิดจากเหตุสุดวิสัย
แม้ข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องว่า เรือมีรูรั่วบริเวณด้านบนกาบขวาเรือ แต่โจทก์นำสืบรับว่าเรือของจำเลยทั้งสองมีรูรั่วอยู่บริเวณใต้น้ำ ซึ่งแตกต่างไปจากคำฟ้อง ก็ไม่ใช่เป็นการคลาดเคลื่อนในสาระสำคัญแต่อย่างใด ไม่เป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 เพราะสาระสำคัญของข้อเท็จจริงที่จะมีผลให้จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดอยู่ที่เรื่องเหตุสุดวิสัยเท่านั้น เมื่อรับฟังไม่ได้ว่ารูรั่วเกิดจากเหตุสุดวิสัยแล้ว จำเลยทั้งสองก็ยังคงต้องรับผิดตาม ป.พ.พ. 616 อยู่ดี
ลักษณะความเสียหายของสินค้าเหล็กม้วนรีดเย็นเกิดเป็นสนิมทั้งหมด ซึ่งเหล็กดังกล่าวจะนำไปจำหน่ายแก่ลูกค้าที่ซื้อไปผลิตส่วนประกอบชิ้นส่วนเครื่องยนต์หรือตัวถังรถยนต์และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ หากเกิดสนิมหรือเกิดความชื้นเพียงเล็กน้อยก็ไม่สามารถนำไปใช้ได้ ถือว่าเป็นความเสียหายโดยสิ้นเชิง การเรียกร้องค่าเสียหายของโจทก์ จึงไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 417,177.71 บาท กับชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 407,711 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 407,711 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14 พฤศจิกายน 2550) ต้องไม่เกิน 9,466.71 บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ยุติเป็นเบื้องต้นว่า บริษัทไทยปิยะค้าเหล็ก จำกัด ในประเทศไทย ตกลงซื้อสินค้าเหล็กม้วนรีดเย็น 4 ม้วน จากบริษัทเอเซียนสตีล จำกัด ในประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ ในราคารวมค่าขนส่งและเบี้ยประกันภัย (ซีไอเอฟ) 19,454.47 ดอลลาร์สหรัฐ โดยบริษัทผู้ขายได้ทำสัญญาประกันภัยสินค้าระหว่างการขนส่งจนถึงโรงพักสินค้าของผู้ซื้อในประเทศไทยไว้กับโจทก์ และผู้ขายได้มอบหมายให้บริษัทไชน่าสตีล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าที่ดินแดนไต้หวันเป็นตัวแทนในการส่งสินค้า บริษัทดังกล่าวว่าจ้างผู้ขนส่งทำการขนส่งสินค้าทางทะเลมายังท่าเรือกรุงเทพและส่งมอบสินค้าให้แก่บริษัทไทยปิยะค้าเหล็ก จำกัด ครบถ้วนในสภาพเรียบร้อย จากนั้นบริษัทไทยปิยะค้าเหล็ก จำกัด ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ขนถ่ายสินค้าลงจากเรือเดินทะเลและขนส่งสินค้าโดยใช้เรือลำเลียงหรือเรือฉลอมจากท่าเรือกรุงเทพไปยังโรงพักสินค้าของบริษัทไทยปิยะค้าเหล็ก จำกัด ที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยจำเลยที่ 1 นำเรือลำเลียง นววัฒนา 6 ไปขนถ่ายสินค้าจากระวางเรือเดินทะเลลงสู่ระวางเรือ นววัฒนา 6 ต่อมาจำเลยที่ 1 ขนส่งสินค้าไปถึงโรงพักสินค้าปลายทาง แต่ปรากฏว่าในระวางเรือมีน้ำท่วมขัง ทำให้สินค้าแช่น้ำอยู่นานจนขึ้นสนิมเสียหาย โจทก์ให้ผู้สำรวจทำการสำรวจความเสียหายแล้วเห็นว่าเป็นกรณีเสียหายโดยสิ้นเชิง แต่การคำนวณค่าเสียหายได้ลดมูลค่าความเสียหายลงตามมูลค่าซากสินค้าคงเหลือค่าเสียหายร้อยละ 55 คิดเป็นเงินจำนวน 11,769.96 ดอลลาร์สหรัฐ หรือตามอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 34.64 บาท เป็นเงิน 407,711 บาท โจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าวให้แก่บริษัทไทยปิยะค้าเหล็ก จำกัด ซึ่งได้รับโอนใบตราส่งและกรมธรรม์ประกันภัยมาจากบริษัทเอเซียนสตีล จำกัด ไป จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนจัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า เรือลำเลียง นววัฒนา 6 ของจำเลยที่ 1 ไม่มีเครื่องยนต์ต้องใช้เรือยนต์ลากจูง ผู้กระทำละเมิดที่ทำให้สินค้าเสียหายคือคนขับเรือลากจูง จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ผู้ทำละเมิด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยมีข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งสินค้าตามสัญญารับขนสินค้าตามฟ้อง ไม่ได้ให้รับผิดในมูลละเมิด คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทให้ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงดังที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นอุทธรณ์แต่อย่างใด อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อนี้จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายโดยข้อเท็จจริงนี้เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง และไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 38 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 จึงไม่รับวินิจฉัยให้
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองประการที่สองว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ขนส่งสินค้าตามฟ้องไม่ต้องรับผิดเพราะความเสียหายของสินค้าเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือไม่ จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับขนสินค้าจากบริษัทไทยปิยะค้าเหล็ก จำกัด ซึ่งได้รับมอบสินค้าจากผู้รับขนทางทะเลที่ขนส่งจากดินแดนไต้หวันมายังท่าเรือกรุงเทพในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว จากนั้นบริษัทจึงทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ขนส่งสินค้าจากท่าเรือกรุงเทพไปยังโรงพักสินค้าของบริษัทที่จังหวัดสมุทรปราการ อันเป็นการขนส่งภายในประเทศ ที่ต้องใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 8 หมวด 1 ว่าด้วยการรับขนของ ซึ่งตามบทกฎหมายดังกล่าว มาตรา 616 บัญญัติว่า ผู้ขนส่งจะต้องรับผิดในการที่ของอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสูญหายหรือบุบสลายหรือส่งมอบชักช้า เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการสูญหายหรือบุบสลายหรือชักช้านั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย เมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งสินค้าเหล็กม้วนรีดเย็น 4 ม้วน จากท่าเรือกรุงเทพไปยังโรงพักสินค้าของบริษัทไทยปิยะค้าเหล็ก จำกัด ผู้ซื้อที่จังหวัดสมุทรปราการและสินค้าเสียหายเพราะถูกน้ำที่ท่วมขังในระวางเรือลำเลียงที่จำเลยที่ 1 ใช้ในการขนส่งจนเกิดสนิมเสียหาย จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การปฏิเสธข้อเท็จจริงในส่วนดังกล่าว จึงถือว่ารับข้อเท็จจริงและฟังข้อเท็จจริงได้ยุติตามฟ้องนี้ อันต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 616 ดังกล่าว ที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดในการที่สินค้าที่ผู้ส่งมอบหมายแก่จำเลยที่ 1 เสียหาย ส่วนกรณียกเว้นที่จำเลยที่ 1 จะไม่ต้องรับผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว เพราะการเสียหายเกิดจากเหตุสุดวิสัย เป็นหน้าที่ที่จำเลยที่ 1 จะต้องพิสูจน์นำสืบพยานหลักฐานแสดงข้อเท็จจริงให้ฟังได้ว่าการที่สินค้านี้เสียหายเกิดจากเหตุสุดวิสัยดังที่จำเลยที่ 1 ยกขึ้นอ้างตามคำให้การเพื่อให้ไม่ต้องรับผิด โดยจำเลยทั้งสองนำสืบถึงข้อเท็จจริงนี้โดยมีเพียงพยานบุคคลคือ จำเลยที่ 2 นายปรีชาพนักงานของจำเลยที่ 1 ที่ทำหน้าที่หัวหน้าผู้ควบคุมเรือและนายพรเทพ เจ้าของอู่ซ่อมเรือที่รับซ่อมรูรั่วเรือลำเลียง นววัฒนา 6 ของจำเลยที่ 1 ยื่นบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงและความเห็นกับเบิกความประกอบเป็นทำนองเดียวกันว่า ก่อนนำเรือลำนี้ไปขนส่งสินค้าตามฟ้องได้ตรวจสภาพเรือแล้วไม่พบรูรั่ว แต่ในระหว่างทางที่เรือลำนี้ขนส่งสินค้าตามฟ้องจากท่าเรือกรุงเทพไปยังโรงพักสินค้าของบริษัทไทยปิยะค้าเหล็ก จำกัด ที่จังหวัดสมุทรปราการ เรือกระแทกกับวัตถุของแข็งใต้น้ำ ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ จนทำให้เกิดรูรั่วขนาดกว้างประมาณ 5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ที่ด้านข้างลำเรือต่ำจากกาบเรือลงไป 2.5 เมตร ตรงบริเวณด้านขวาค่อนไปทางท้ายเรือซึ่งจะอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำขณะเรือแล่นไป ทำให้น้ำเข้าที่รูรั่วนี้จนท่วมขังในระวางเรือเท่านั้น แต่พยานจำเลยทั้งสอง 3 ปากนี้ก็ไม่ทราบว่าเกิดเหตุนี้ในวันเวลาใด วัตถุที่ชนกันก็ไม่ทราบแน่ชัดถึงชนิดและขนาด จึงมีลักษณะเป็นพยานหลักฐานที่เลื่อนลอย และเป็นข้อเท็จจริงที่อาจกล่าวอ้างได้ง่าย ๆ คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่อาจตรวจสอบหาข้อมูลหรือพยานหลักฐานมานำสืบโต้แย้งหักล้างได้ ทั้งที่จำเลยทั้งสองก็นำสืบว่าเรือลำนี้เป็นเรือเหล็กหนาประมาณ 8 มิลลิเมตร ซึ่งน่าจะมั่นคงแข็งแรงและแม้จะบรรทุกสินค้าเหล็กม้วนรีดเย็น 4 ม้วน ที่มีน้ำหนักมาก แต่ยังอยู่ในสภาพที่ความหนาแน่นของน้ำสามารถพยุงให้เรือลอยในน้ำและแล่นไปตามทิศทางที่เรือยนต์ลากจูงไปได้ การถูกกระแทกจนเหล็กลำเรือเกิดรอยรั่วกว้างประมาณ 5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร แสดงว่าต้องถูกกระแทกอย่างแรง น่าจะมีโอกาสให้ผู้ควบคุมเรือลำเลียง นววัฒนา 6 รู้สึกได้ และหาทางแก้ปัญหาโดยด่วนดังเช่นที่จำเลยทั้งสองนำสืบถึงการใช้เครื่องสูบน้ำสูบน้ำออกในขณะขนถ่ายสินค้าขึ้นที่ท่าปลายทาง แต่พยานจำเลยทั้งสองกลับไม่ทราบว่าเกิดเหตุเมื่อใดที่ใด และมีนายปรีชาหัวหน้าผู้ควบคุมเรือยื่นบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงและความเห็นว่า พยานเพิ่งสังเกตเห็นความผิดปกติ เมื่อเรือแล่นไปจนใกล้จะถึงท่าเทียบเรือปลายทางแล้ว โดยเห็นเรือเอียงทางขวาและมีน้ำไหลเข้าท้องเรือ แต่พยานจำเลยทั้งสองก็ไม่ได้เบิกความว่าเหตุใดนายปรีชาจึงไม่รู้สึกถึงการกระแทกกระเทือนจากการชนจนสามารถตรวจพบปัญหาเพื่อแก้ไขได้ทันท่วงที พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองเช่นนี้จึงปราศจากรายละเอียดและเหตุผล ทั้งที่เป็นข้อเท็จจริงซึ่งมีแต่ฝ่ายจำเลยทั้งสองเท่านั้นที่จะรู้ได้ พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองจึงไม่มีน้ำหนักให้เชื่อถือรับฟังข้อเท็จจริงได้ดังที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นอ้างตามคำให้การ ย่อมฟังข้อเท็จจริงไม่ได้ว่าการที่สินค้าเสียหายครั้งนี้เกิดจากเหตุสุดวิสัยอันเป็นเหตุยกเว้นให้จำเลยที่ 1 รวมทั้งจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 616
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองประการที่สามว่า ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ใช้เรือลำเลียงที่ไม่เหมาะสมต่อการขนส่งโดยเรือมีรอยรั่วที่บริเวณด้านบนกาบขวาเรือ ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่ารูรั่วเกิดจากอุบัติเหตุอยู่ที่บริเวณใต้น้ำต่ำกว่าผิวน้ำ 2.5 เมตร แต่โจทก์นำสืบรับว่าเรือของจำเลยทั้งสองมีรูรั่วอยู่บริเวณใต้น้ำ เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงให้ผิดไปจากคำฟ้อง และที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงผิดจากคำฟ้องไปด้วยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องในรายละเอียดข้อเท็จจริงนี้คลาดเคลื่อนไปบ้างก็ตาม แต่ตามคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายให้ปรากฏข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับจ้างขนส่งสินค้าตามฟ้อง และสินค้าที่จำเลยที่ 1 ได้รับมอบหมายให้ขนส่งได้รับความเสียหายโดยเหตุเกิดในระหว่างการขนส่งโดยจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การปฏิเสธข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างจนรับฟังได้ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง และข้อเท็จจริงเพียงที่ฟังได้ส่วนนี้ก็มีผลที่ในเบื้องต้น ถือว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามมาตรา 616 แล้ว เว้นแต่จำเลยทั้งสองจะพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายของสินค้าเกิดขึ้นจากเหตุสุดวิสัย ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบริเวณเรือที่มีรูรั่วที่แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องคลาดเคลื่อนไปก็ไม่ใช่สาระสำคัญแต่อย่างใด โดยสาระสำคัญของข้อเท็จจริงที่จะมีผลให้จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดอยู่ที่ข้อเท็จจริงที่ฝ่ายจำเลยทั้งสองกล่าวอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยเท่านั้น ดังนี้ แม้จะฟังได้ว่ารูรั่วที่เรืออยู่บริเวณใต้น้ำดังที่จำเลยทั้งสองให้การซึ่งแตกต่างกับคำฟ้องของโจทก์ แต่เมื่อฟังไม่ได้ว่ารูรั่วเช่นว่านี้เกิดเพราะเหตุสุดวิสัยแล้ว จำเลยทั้งสองก็ยังคงต้องรับผิดตามมาตรา 616 ตามที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้นอยู่ดี อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองประการสุดท้ายว่า การที่โจทก์กับบริษัทไทยปิยะค้าเหล็ก จำกัด ร่วมกันดำเนินการสำรวจความเสียหายโดยไม่แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบเพื่อเข้าร่วมตรวจสอบ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือไม่ กรณีเช่นนี้จะถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตก็ควรได้ความว่า โจทก์เรียกร้องความเสียหายสูงเกินความเป็นจริงเพื่อเอาเปรียบจำเลยทั้งสอง ซึ่งในข้อนี้ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบโดยจำเลยทั้งสองไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานหักล้างได้ความว่า โจทก์และบริษัทไทยปิยะค้าเหล็ก จำกัด มิได้ให้พนักงานหรือลูกจ้างของตนเป็นผู้สำรวจความเสียหายเอง หากแต่ได้มอบให้บริษัทนิปปอน ไคจิ เคนเตอิ (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นผู้สำรวจภัยโดยนายสมบูรณ์ เจ้าหน้าที่สำรวจภัยบริษัทมาเป็นพยานโจทก์ยื่นบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงและความเห็นว่า พยานเป็นผู้สำรวจความเสียหายสินค้านี้ และจัดทำรายงานการสำรวจภัยลักษณะความเสียหายของสินค้าเหล็กม้วนรีดเย็นที่เกิดสนิมทั้งหมดโดยละเอียด พร้อมทั้งถ่ายภาพประกอบไว้ด้วย โดยไม่ปรากฏว่าพยานหรือบริษัทมีเหตุที่จะเอื้อประโยชน์แก่โจทก์หรือให้ร้ายจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด ทั้งยังได้ความจากพยานปากนี้และนายสาธิตพยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งเป็นพนักงานบริษัทไทยปิยะค้าเหล็ก จำกัด ว่าสินค้าเหล็กม้วนรีดเย็น 4 ม้วน ที่บริษัทผู้ซื้อดังกล่าวสั่งซื้อมานั้น เป็นสินค้าคุณภาพดีเกรดเอ ซึ่งจะนำไปจำหน่ายแก่ลูกค้าที่จะซื้อไปใช้ผลิตส่วนประกอบชิ้นส่วนเครื่องยนต์หรือตัวถังรถยนต์และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ หากสินค้าเหล็กม้วนรีดเย็นนี้เกิดสนิมหรือเกิดความชื้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่สามารถนำไปใช้ผลิตชิ้นส่วนดังกล่าวนั้นได้ เนื่องจากจะทำให้ชิ้นส่วนที่ผลิตนั้นไม่ได้มาตรฐานและอาจเกิดอันตรายได้ ดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสินค้าตามฟ้องเกิดสนิมนั้น ต้องถือว่าเป็นความเสียหายโดยสิ้นเชิง แต่พยานจำเลยทั้งสองเบิกความในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเสียหายนี้ลอย ๆ เพียงว่า สินค้าเสียหายเพียงเล็กน้อย โดยปราศจากรายละเอียดว่าเสียหายส่วนใดเพียงใดจึงถือว่าเสียหายเล็กน้อยและไม่ได้เบิกความโต้แย้งว่าสินค้าไม่ถูกน้ำและเกิดสนิมแต่อย่างใด จากพยานหลักฐานดังกล่าวมาเห็นได้ว่า ไม่มีพยานหลักฐานหรือข้อมูลข้อเท็จจริงใดที่ส่อให้เห็นว่า การสำรวจความเสียหายโดยนายสมบูรณ์ไม่ถูกต้องตรงตามความจริง หรือจงใจให้ถือว่าสินค้าเสียหายโดยสิ้นเชิงโดยปราศจากเหตุผล หรือเพื่อเอาเปรียบจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามา ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share