คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ยอดเงินกู้ตามหนังสือสัญญากู้เงินซึ่งแยกได้ว่าเป็นต้นเงินที่แท้จริงจำนวนหนึ่ง และดอกเบี้ยล่วงหน้าซึ่งเรียกเกินอัตราผิดกฎหมายจำนวนหนึ่งนั้น หนี้ดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นหนี้ไม่สมบูรณ์ตกเป็นโมฆะ ส่วนหนี้ต้นเงินยังคงสมบูรณ์ สัญญากู้ไม่ตกเป็นโมฆะทั้งฉบับ และในส่วนที่สมบูรณ์ย่อมนำมาใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมฟ้องร้องบังคับคดีได้ (อ้างฎีกาที่ 1238/2502)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปหลายครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 27,000 บาท โดยจำเลยยอมให้ดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี ปรากฏตามสำเนาสัญญากู้ท้ายฟ้อง ถึงกำหนดชำระตามสัญญา จำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมพร้อมกับดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า จำเลยกู้เงินโจทก์เพียง 12,000 บาท กำหนดใช้คืนใน 10 เดือน โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อเดือน และได้คิดดอกเบี้ยล่วงหน้า 10 เดือนเป็นเงิน 14,400 บาท กับค่าปากถุงอีกร้อยละห้าของต้นเงิน เป็นเงิน 600 บาท เมื่อรวมกับเงินกู้ 12,000 บาท จึงเป็นเงินกู้ทั้งสิ้น 27,000 บาท โจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา และเอาดอกเบี้ยที่ผิดกฎหมายรวมกับต้นเงินกู้มาฟ้อง เป็นหนี้ที่ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงสมข้อต่อสู้ของจำเลยว่าจำเลยกู้ยืมเงินไปเพียง 12,000 บาท ส่วนอีก 14,400 บาท กับค่าปากถุง600 บาท เป็นดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมาย เป็นหนี้ไม่สมบูรณ์ ตกเป็นโมฆะ ฟ้องร้องบังคับเอากับจำเลยไม่ได้ พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน12,000 บาทแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินรายนี้ไม่สมบูรณ์เป็นโมฆะทั้งฉบับ จึงนำมาใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมฟ้องร้องจำเลยไม่ได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ยอดเงินกู้ 27,000 บาทตามสัญญากู้หมาย จ.1 นั้น แยกได้ว่าเป็นเงินต้นที่แท้จริง 12,000 บาท ซึ่งจำเลยให้การรับแล้ว อีก 15,000 บาท เป็นดอกเบี้ยล่วงหน้าที่โจทก์เรียกเกินอัตราผิดกฎหมาย ฉะนั้น หนี้ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่ไม่สมบูรณ์ตกเป็นโมฆะส่วนหนี้ต้นเงิน 12,000 บาทยังคงสมบูรณ์อยู่ สัญญากู้รายนี้จึงไม่ตกเป็นโมฆะทั้งฉบับ และในส่วนที่สมบูรณ์ย่อมนำมาใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมฟ้องร้องบังคับคดีได้ ตามนัยฎีกาที่ 1238/2502

พิพากษายืน

Share