แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นหนี้ค่าสินค้าที่ซื้อจากโจทก์เป็นเงิน 266,304 บาทและเป็นหนี้เจ้าหนี้รายอื่นอีก 3 ราย เป็นเงิน 92,250 บาทเศษจำเลยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ให้ชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน แต่จำเลยไม่ชำระหนี้และจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์และเจ้าหนี้รายอื่นของจำเลยได้แม้จำเลยจะมีรายได้เดือนละ 10,000 บาท ก็ไม่พอฟังว่าสามารถชำระหนี้ได้ทั้งหมด จำเลยจึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งซื้อและได้รับสินค้าสมุด กระดาษและเครื่องเขียนจากโจทก์รวม 26 ครั้ง เป็นเงิน 266,304 บาท แต่จำเลยไม่ชำระราคาสินค้า โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวรวมสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน แต่จำเลยไม่ชำระหนี้และได้ปิดสถานที่ประกอบธุรกิจหลบหนีไป จำเลยจึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ จำเลยไม่เคยสั่งซื้อและรับสินค้าตามฟ้องจากโจทก์ หนี้ตามฟ้องอย่างมากก็เพียง10,000 บาท จำเลยมีรายได้ประจำจากการเป็นพนักงานของบริษัทขายเครื่องเขียนในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายเดือนละ 5,000 บาทและมีรายได้ค่าตอบแทนพิเศษจากการขายอีกประมาณเดือนละไม่ต่ำกว่า5,000 บาท จำเลยไม่ได้เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้ยกฟ้อง
เดิมศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ครั้นวันนัดสืบพยานจำเลยจำเลยยื่นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตจำเลยอ้างตนเองเบิกความเป็นพยาน แล้วศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 14 จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยและดำเนินการสืบพยานจำเลยตามบัญชีระบุพยานของจำเลย แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีโจทก์ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน
ศาลชั้นต้นรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยและสืบพยานจำเลยตามบัญชีระบุพยานดังกล่าว แล้วมีคำสั่งใหม่ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่เห็นว่า นอกจากจำเลยจะเป็นหนี้ราคาสินค้าต่อโจทก์เป็นจำนวนเงินถึง 266,304 บาท ดังวินิจฉัยแล้วโจทก์ยังมีนายกนกศักดิ์ออศิริชัยเวทย์ กรรมการผู้จัดการบริษัทศิริชัยสเตชั่นเนอรี่จำกัด นางเรณู อัชชารกูร หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดเรณูซันดรี้ส์ และนายอดิศักดิ์ อนุโลมสมบัติ เป็นพยานเบิกความด้วยว่า จำเลยเป็นหนี้ราคาสินค้าบริษัทศิริชัยสเตชั่นเนอรี่จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัดเรณูซันดรี้ส์ เป็นเงิน 38,275.20 บาทและ 13,975 บาท ตามลำดับ กับเป็นหนี้นายอดิศักดิ์ตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่าย 40,000 กว่าบาท และมีนายเกียรติ ญาณไพศาลทนายความของโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า พยานในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามจำเลยให้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้วรวมสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวันปรากฏตามเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.10 จำเลยก็ไม่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ได้ความดังนี้ ส่วนจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์และเจ้าหนี้รายอื่นของจำเลยได้และที่จำเลยเบิกความว่า จำเลยทำงานมีรายได้ประมาณเดือนละ10,000 บาท นั้น เห็นว่า เป็นเพียงคำเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆของจำเลย โดยจำเลยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมานำสืบสนับสนุนให้เชื่อได้ว่าเป็นความจริง และแม้จะฟังว่าจำเลยมีรายได้ตามจำนวนดังกล่าวจริง ก็ไม่เพียงพอที่จะให้ฟังได้ว่าจำเลยสามารถชำระหนี้ให้โจทก์และเจ้าหนี้รายอื่น ๆ ของจำเลยได้ ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ฎีกาของจำเลยในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน