คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2608/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่คู่ความฝ่ายหนึ่งครอบครองทรัพย์ที่พิพาทในระหว่างคดีนั้นคู่ความฝ่ายนั้นจะอ้างว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ต่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหาได้ไม่ ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงอ้างการครอบครองในช่วงระยะเวลาที่กำลังพิพาทเป็นคดีอยู่นั้นขึ้นเป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ และเมื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ชนะคดีจำเลยที่ 1คำพิพากษาของศาลในคดีนั้นย่อมผูกพันจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทจากเจ้าของกรรมสิทธิ์มา ก็ย่อมได้รับสิทธิดังกล่าวจากเจ้าของกรรมสิทธิ์มาด้วย จำเลยที่ 1 จึงอ้างการครอบครองปรปักษ์ในช่วงระยะเวลาที่เป็นความกับเจ้าของกรรมสิทธิ์ขึ้นโต้แย้งยันโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์สืบต่อมาไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ ๕๐๑๗ โดยซื้อมาจากนายแสวง ชาวห้วยหมาก โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยชอบ ในที่ดินแปลงนี้มีเรือนและยุ้งข้าวของจำเลยที่ ๑สองหลัง และยุ้งข้าวของจำเลยที่ ๒ อีกหนึ่งหลังปลูกอยู่ก่อนโจทก์ซื้อที่ดินโดยนางเขียวมารดาจำเลยที่ ๑ ปลูกโดยอาศัยนายเพียนเจ้าของที่ดินเดิมแล้วได้มีการขายที่ดินแปลงนี้กันต่อมาหลายทอดจนเป็นของนายแสวงชาวห้วยหมาก และนายแสวงได้จำนองไว้กับนายพร้อม อุ่นวรรณธรรมซึ่งต่อมาถูกบังคับจำนอง เจ้าพนักงานยึดเพื่อขายทอดตลาด จำเลยที่ ๑ได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าที่ดินเป็นของจำเลยที่ ๑ และได้ฟ้องขับไล่นายสุพจน์ จุสมใจ ออกจากที่ดินแปลงนี้ด้วย ปรากฏตามสำนวนของศาลจังหวัดสุพรรณบุรีหมายเลขแดงที่ ๑๗๗/๒๕๐๖ และแดงที่ ๒๙๖/๒๕๐๘ศาลได้พิจารณาพิพากษารวมกัน จนศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า นางเขียวและจำเลยที่ ๑ เป็นเพียงผู้อาศัยนายเพียนเจ้าของเดิม ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแสวงซึ่งหลังจากศาลฎีกาพิพากษาแล้ว นายแสวงได้ไถ่ถอนจำนองแล้วจึงโอนขายให้โจทก์ บัดนี้ โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ในที่ดินแปลงนี้ ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนออกไปแล้ว จำเลยเพิกเฉยจึงขอให้บังคับให้จำเลยรื้อถอนเรือนและยุ้งข้าวออกไปจากที่ดินโจทก์ห้ามเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสองให้การว่า คำพิพากษาศาลฎีกาไม่ปิดปากจำเลยที่ ๑มิให้เถียงกรรมสิทธิ์กับโจทก์ จำเลยที่ ๑ ได้ครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ซึ่งโจทก์ทราบก่อนซื้อแล้ว จึงเป็นการได้มาโดยไม่สุจริต โจทก์ซึ่งเป็นบริวารของนายสุพจน์ยังใช้ที่ดินส่วนที่ไม่มีโฉนดของจำเลยที่ ๑ ซึ่งศาลพิพากษาในคดีที่จำเลยที่ ๑ ฟ้องขับไล่นายสุพจน์ให้นายสุพจน์ระงับการเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว เมื่อโจทก์ไม่เสนอชำระหนี้ตอบแทนโดยระงับการกระทำดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ดินส่วนใดจะเป็นที่มีโฉนดหรือไม่มีเจ้าพนักงานยังไม่ได้รังวัด โจทก์ไม่เคยมีหนังสือบอกกล่าวมายังจำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ปรากฏชัดตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๑๗๗/๒๕๐๖ ของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี คดีระหว่าง นายพร้อม อุ่นวรรณธรรมโจทก์ นายแสวง ชาวห้วยหมาก จำเลย นายละออง ม่วงงาม ผู้ร้องขัดทรัพย์ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายละอองผู้ร้องขัดทรัพย์ (คือจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้)ครอบครองที่ดินโฉนด ๕๐๑๗ มายังไม่ครบ ๑๐ ปี จึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในโฉนดที่พิพาทแต่อย่างใด แม้นับเวลาตั้งแต่วันที่นายละอองจำเลยที่ ๑ฟังคำพิพากษาดังกล่าวมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้ จำเลยที่ ๑ก็ยังครอบครองปรปักษ์ไม่ครบ ๑๐ ปีเช่นกัน ประเด็นที่ว่า โจทก์ซื้อโดยสุจริตหรือไม่ ไม่ต้องวินิจฉัย และโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบก่อนฟ้องแล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนเรือนและยุ้งข้าวออกจากที่ดินโฉนดที่ ๕๐๑๗ ของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้ในคดีหมายเลขดำที่ ๒๕๐/๒๕๐๖ แดงที่ ๑๗๗/๒๕๐๖ ที่นายละอองจำเลยที่ ๑ ร้องขัดทรัพย์อ้างว่าที่ดินตามโฉนดที่ ๕๐๑๗ เป็นของนายละอองจำเลยที่ ๑ นั้นแล้วว่า ที่ดินตามโฉนดที่ ๕๐๑๗ ที่พิพาทกันในคดีนี้เป็นของนายแสวง ชาวห้วยหมากเพราะนางเขียวมารดาของจำเลยที่ ๑ เพิ่งเปลี่ยนเจตนาจะครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๔๙๘ เมื่อนับมาจนถึงวันที่นายละอองจำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ในคดีนั้น ในวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๐๖(เป็นเวลาเพียง ๘ ปี ๓ เดือน) ยังไม่ครบ ๑๐ ปี นางเขียวและนายละอองจำเลยที่ ๑ ผู้รับมรดกจากนางเขียวยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ คดีจึงมีปัญหาว่าจะนับระยะเวลาที่จำเลยครอบครองที่ดินตามโฉนดที่พิพาทในระหว่างเป็นความอยู่ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๕๐/๒๕๐๖ แดงที่ ๑๗๗/๒๕๐๖ที่นายละอองจำเลยที่ ๑ ร้องขัดทรัพย์นั้น รวมกับระยะเวลาครอบครองที่ดินตามโฉนดที่พิพาทที่จำเลยมีอยู่ก่อนนายละอองจำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขัดทรัพย์นั้นเป็นการครอบครองปรปักษ์ยันโจทก์ได้หรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ระยะเวลาที่จำเลยครอบครองที่ดินตามโฉนดที่พิพาทตั้งแต่วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๐๖ ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้องขัดทรัพย์เป็นต้นไป จนถึงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ อันเป็นวันที่นายละอองจำเลยที่ ๑ ได้ฟังคำพิพากษาศาลฎีกา อันเป็นคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในคดีร้องขัดทรัพย์นั้น เป็นการครอบครองทรัพย์พิพาทในระหว่างคดีจะนับระยะเวลาการครอบครองในระหว่างคดีดังกล่าวรวมเข้ากับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ที่นายละอองจำเลยที่ ๑ มีอยู่ก่อนวันยื่นคำร้องขัดทรัพย์ ดังที่จำเลยฎีกาหาได้ไม่ ทั้งนี้ เพราะการที่คู่ความฝ่ายหนึ่งครอบครองทรัพย์ที่พิพาทในระหว่างคดีนั้น คู่ความฝ่ายนั้นจะอ้างว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ต่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหาได้ไม่ดังนั้น จำเลยที่ ๑ จึงอ้างการครอบครองในช่วงระยะเวลาที่กำลังพิพาทเป็นคดีอยู่นั้นขึ้นเป็นปรปักษ์ต่อนายแสวง ชาวห้วยหมาก เจ้าของกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ และเมื่อนายแสวง ชาวห้วยหมากชนะคดีจำเลยที่ ๑ แล้ว คำพิพากษาของศาลในคดีนั้นย่อมผูกพันจำเลยที่ ๑โจทก์เป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทจากนายแสวง ชาวห้วยหมาก มาโจทก์ก็ย่อมได้รับสิทธิดังกล่าวจากนายแสวง ชาวห้วยหมาก มาด้วยจำเลยที่ ๑ จึงอ้างการครอบครองปรปักษ์ในช่วงระยะเวลาที่เป็นความกับนายแสวง ชาวห้วยหมาก ขึ้นโต้แย้งยังโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์สืบต่อมาไม่ได้
พิพากษายืน

Share