คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2607/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งประเด็นไปสืบตัวจำเลยที่ 6 ที่ 8 ที่ 9 และที่ 10 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วต่อมาได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเสียและสั่งให้ตัวจำเลยมาเบิกความที่ศาลแทนการส่งประเด็นนั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะสั่งได้ว่าสมควรจะให้สืบพยานหลักฐานใดในศาลหรือนอกศาลตามความจำเป็นแห่งสภาพของพยานหลักฐานหรือจะให้ศาลอื่นสืบพยานหลักฐานแทนก็ได้หากศาลเห็นเป็นการจำเป็นดังมีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 102 ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่ายังไม่เป็นการจำเป็นที่จะให้ส่งประเด็นไปสืบจำเลยที่ 6 ที่ 8 ที่ 9 และที่ 10 ยังต่างประเทศ ศาลก็ชอบจะไม่อนุญาตได้แม้ศาลจะสั่งอนุญาตแล้ว ก็เพิกถอนได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นในเรื่องนี้จึงชอบแล้ว
ศาลให้นำพยานมาสืบที่ศาลที่พิจารณาคดี เมื่อจำเลยมิได้นำพยานมาสืบที่ศาลที่พิจารณาคดีดังที่ศาลสั่ง และมิได้ขอเลื่อนคดี การที่ศาลสั่งว่าคดีเสร็จสำนวนโดยไม่อนุญาตให้ส่งประเด็นไปสืบพยานดังกล่าว จึงเป็นคำสั่งที่ชอบเช่นเดียวกัน และหาใช่เป็นเรื่องที่ศาลสั่งงดสืบพยานจำเลยไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าบ้านเลขที่ 56 ถนนเพชรบุรี จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โจทก์ให้จำเลยทั้ง 13 คนอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อมาผู้ให้เช่าอนุญาตให้โจทก์ปลูกสร้างอาคาร 3 ชั้น 22 คู่หาแทนบ้านที่เช่าโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งหมดออกจากบ้านเช่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้ขับไล่จำเลยทั้งหมดออกจากบ้านพิพาทให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 16,000 บาท และอีกเดือนละ 2,000 บาท นับแต่เดือนกรกฎาคม 2521 จนกว่าจะออกจากบ้านพิพาท

ศาลชั้นต้นเรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตามที่โจทก์ขอ

จำเลยทั้ง 13 คนให้การว่า นายแมนฟุ้งเป็นผู้เช่าบ้านพิพาทจากโจทก์ร่วมเมื่อนายแมนฟุ้งตาย ผู้จัดการมรดกเช่าต่อ ต่อมาพลตรีไชยบุตรเขยนายแมนฟุ้งตกลงกับผู้จัดการมรดกขอเป็นผู้เช่าแทนกองมรดกนายแมนฟุ้ง ไม่ได้เช่าเพื่อประโยชน์ส่วนตัว โจทก์ร่วมตกลงจะให้ทายาทนายแมนฟุ้งเช่าที่ดินและบ้านพิพาทอยู่ตลอดไปจนชั่วชีวิตของแต่ละคน โจทก์เป็นบุตรบุญธรรมของพลตรีไชย โจทก์ไม่มีสิทธิเช่าบ้านพิพาทเป็นส่วนตัวได้ จำเลยเป็นทายาทนายแมนฟุ้ง ไม่ได้อยู่โดยอาศัยสิทธิของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้ง 13 คน

จำเลยทั้ง 13 คนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้ง 13 คนฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งประเด็นไปสืบตัวจำเลยที่ 6ที่ 8 ที่ 9 และที่ 10 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วต่อมาได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเสียและสั่งให้ตัวจำเลยมาเบิกความที่ศาลแทนการส่งประเด็นนั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะสั่งได้ว่าสมควรจะให้สืบพยานหลักฐานใดในศาลหรือนอกศาลตามความจำเป็นแห่งสภาพของพยานหลักฐานหรือจะให้ศาลอื่นสืบพยานหลักฐานแทนก็ได้หากศาลเห็นเป็นการจำเป็น ทั้งนี้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 102 คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่ายังไม่เป็นการจำเป็นที่จะให้ส่งประเด็นไปสืบจำเลยที่ 6 ที่ 8 ที่ 9 และที่ 10 ยังต่างประเทศ ศาลก็ชอบที่จะไม่อนุญาตแล้ว ก็เพิกถอนได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นในเรื่องนี้จึงชอบแล้วส่วนที่จำเลยฎีกาว่าคำสั่งงดสืบตัวจำเลยที่ 6 ที่ 8 ที่ 9 และที่ 10 ทำให้จำเลยไม่ได้รับความเป็นธรรมและขัดกับหลักกฎหมายที่จะให้จำเลยต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่นั้น เป็นเรื่องที่ศาลหาได้สั่งงดสืบพยานของจำเลยดังกล่าวไม่เพียงแต่ศาลให้นำพยานมาสืบที่ศาลที่พิจารณาคดีเท่านั้น เมื่อจำเลยมิได้นำพยานดังกล่าวมาสืบที่ศาลที่พิจารณาคดีดังที่ศาลสั่ง และมิได้ขอเลื่อนคดีการที่ศาลสั่งว่าคดีเสร็จสำนวนโดยไม่อนุญาตให้ส่งประเด็นไปสืบพยานดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่ชอบเช่นเดียวกัน

พิพากษายืน

Share