คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2603/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

มูลหนี้เดิมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 คือหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ได้ทำไว้กับโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกัน และยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1ได้ชำระหนี้ดังกล่าวด้วยเช็คดังนี้ มูลหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินจะระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อได้มีการชำระเงินตามเช็คนั้นแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคสาม ปรากฏว่าเมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินตามเช็ค แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ฉะนั้น มูลหนี้เดิมตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ได้ทำไว้กับโจทก์จึงยังไม่ระงับ โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามมูลหนี้เดิมและให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันให้รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมได้ โจทก์ระบุอ้างตั๋วสัญญาใช้เงินต่อศาลไว้แล้ว แต่มิได้ส่งสำเนาให้จำเลยที่ 2 ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ถ้าศาลชั้นต้นเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานนั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87(2).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 266,109.58บาท ให้แก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดจำนวน 130,445.20 บาทและให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดจำนวน 106,863.01 บาท และให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ใช้ดอกเบี้ยร้อยละ 19, 17.5 และ 7.5ต่อปี ในต้นเงิน 200,000 บาท, 100,000 บาท และ 100,000 บาทตามลำดับ นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 266,109.58 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดเพียง130,445.20 บาท ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดเพียง 106,863.01 บาท ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ในต้นเงิน 200,000 บาทจำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 17.5 ต่อปี ในต้นเงิน 100,000 บาทจำเลยที่ 3 ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 100,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันผิดนัด (1 กันยายน 2527) เป็นต้นไป โดยให้จำเลยที่ 2ร่วมรับผิดเป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันนับแต่วันผิดนัดดังกล่าวเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแต่ทั้งนี้ความรับผิดของจำเลยที่ 2 เมื่อนำต้นเงินของความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันฉบับเดียวกันในคดีอื่นซึ่งมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วมารวมกับต้นเงินของหนี้ในคดีนี้แล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท และในกรณีเช่นนี้ให้คิดดอกเบี้ยจากต้นเงินที่ยังต้องรับผิดอยู่เท่านั้นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์จะฟ้องเรียกให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินตามหมาย จ.3 ไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 1 ได้นำเช็คตามหมาย จ.4ซึ่งมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้สั่งจ่ายมาชำระหนี้ดังกล่าวแล้วนั้นเห็นว่า มูลหนี้เดิมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 คือหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ได้ทำไว้กับโจทก์ตามหมาย จ.3 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาหมาย จ.5 และจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ดังกล่าวด้วยเช็คตามหมาย จ.4 ซึ่งเป็นตั๋วเงินชนิดหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 898 ดังนี้ มูลหนี้เดิมตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวจะระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อได้มีการชำระเงินตามตั๋วเงินคือเช็คหมาย จ.4นั้นแล้ว ทั้งนี้ตามบทบัญญัติมาตรา 321 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อเช็คตามหมาย จ.4 ถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์ได้นำไปเรียกเก็บเงินตามเช็คนั้น แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับเงินตามตั๋วเงินคือเช็คหมาย จ.4 แล้วฉะนั้น มูลหนี้เดิมตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1ได้ทำไว้กับโจทก์ตามหมาย จ.3 จึงยังไม่ระงับ โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ให้รับผิดตามมูลหนี้เดิมคือหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินได้…
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารตั๋วสัญญาใช้เงินตามหมาย จ.2 ให้แก่จำเลยที่ 2 ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันตามกฎหมายจึงเป็นการไม่ชอบต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานนั้น เห็นว่า การที่โจทก์ระบุอ้างเอกสารดังกล่าวต่อศาลไว้แล้วเพียงแต่มิได้ส่งสำเนาให้จำเลยที่ 2ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันนั้น ถ้าศาลชั้นต้นเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ศาลก็มีอำนาจรับฟังพยานเอกสารนั้นได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา87(2) กรณีดังกล่าวจึงเป็นเรื่องการใช้ดุลพินิจของศาลชั้นต้น และเห็นว่าศาลชั้นต้นก็ได้ใช้ดุลพินิจอย่างเหมาะสมแล้ว ศาลชั้นต้นรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวมานั้นชอบแล้ว…”
พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะค่าขึ้นศาลที่โจทก์ได้ชำระไว้แล้วในศาลชั้นต้นนั้นให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดเพียงเท่าที่โจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share