แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์และจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์เป็นคดีนี้ ในระหว่างพิจารณา มารดาจำเลยได้ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยเพราะเหตุเนรคุณ ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คดีถึงที่สุด ดังนี้ แม้ที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนให้โจทก์ในคดีนี้จะถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ในคดีระหว่างมารดาจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 ก็ตาม แต่ยังไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กลับคืนไปยังมารดาจำเลย กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทจึงยังเป็นของจำเลยอยู่ จำเลยอยู่ในฐานะที่จะถูกบังคับให้โอนขายให้โจทก์ตามฟ้องได้ ส่วนปัญหาระหว่างโจทก์กับมารดาจำเลยซึ่งต่างเป็นผู้ชนะคดีด้วยกัน ใครจะมีสิทธิดีกว่ากันนั้น ก็จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดีหรือฟ้องร้องกันใหม่ ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นนี้
คำพิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 เป็นคำพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 (2) ใช้ยันโจทก์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความด้วยไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๘ เนื้อที่ ๒๐ ไร่ให้โจทก์ราคาไร่ละ ๑๐,๐๐๐ บาท วันทำสัญญา โจทก์วางเงินมัดจำ ๖๐,๐๐๐ บาท อีก ๑๔๐,๐๐๐ บาท โจทก์จะชำระให้จำเลยในวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๑๑ ซึ่งเป็นวันจดทะเบียนโอน ถึงกำหนดโจทก์นำเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาทไปสำนักงานที่ดิน จำเลยไม่ยอมขายให้โจทก์ ปรากฏว่าที่ดินตามสัญญามีเนื้อที่เพียง ๑๙ ไร่ ๒ งาน ๘ ตารางวา ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับเงิน ๑๓๕,๐๐๐ บาท จากโจทก์และจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ ฯลฯ
จำเลยให้การว่า จำเลยเข้าทำสัญญาโดยไม่ได้รับความยินยอมจากสามี สามีบอกล้างนิติกรรมแล้ว ฯลฯ
ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำแถลงว่านาพิพาทจำเลยถูกนางอบมารดาฟ้องขอถอนคืนการให้ฐานเนรคุณ ศาลพิพากษาเพิกถอนคืนการให้ตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๑๔/๒๕๑๑ คดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยจึงไม่มีที่ดินที่จะขายให้โจทก์ได้ต่อไป ส่วนเงินมัดจำ ๖๐,๐๐๐ บาท จำเลยรับจะคืนให้โจทก์
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาว่า ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ ๖๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทแก่โจทก์ และได้รับเงินมัดจำไว้แล้วเป็นเงิน ๖๐,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่ยอมโอน โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์เป็นคดีนี้ ในระหว่างพิจารณาปรากฏว่า นางอบมารดาจำเลยฟ้องจำเลยเรียกที่พิพาทคืนเพราะเหตุเนรคุณ ศาลพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คดีถึงที่สุดในศาลชั้นต้น ตามสำนวนคดีของศาลชั้นต้นหมายเลขแดงที่ ๑๔/๒๕๑๑ โจทก์ได้ขออายัดไว้กับเจ้าพนักงานที่ดินในกรณีที่จำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายไว้ก่อนที่จะฟ้องคดีนี้
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนให้โจทก์ในคดีนี้ จะถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ในคดีระหว่างนางอบมารดาจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๑๔/๒๕๑๑ ก็ตาม แต่ยังไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กลับคืนไปยังนางอบ กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทจึงยังเป็นของจำเลยอยู่ จำเลยอยู่ในฐานะที่จะถูกบังคับให้โอนขายให้โจทก์ตามฟ้องได้ ส่วนปัญหาที่ว่า ในระหว่างโจทก์กับนางอบซึ่งต่างเป็นผู้ชนะคดีด้วยกัน ใครจะมีสิทธิดีกว่ากันนั้น ก็จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดีหรือฟ้องร้องกันใหม่และไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นนี้ คำพิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ ๑๔/๒๕๑๑ เป็นคำพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณ ไม่ใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ (๒) จึงใช้ยันโจทก์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความด้วยไม่ได้ และคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๒๑/๒๔๙๗ ที่ศาลอุทธรณ์นำมาอ้างก็ไม่ตรงกับคดีนี้ คือ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๒๑/๒๔๙๗ ปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายได้จดทะเบียนโอนต่อไปยังบุคคลภายนอกแล้ว กรรมสิทธิ์ที่ดินหาได้อยู่กับจำเลยอีกต่อไปไม่ ศาลจึงอาจพิจารณาพิพากษาให้เพิกถอนได้ แต่คดีนี้ที่พิพาทยังไม่ได้จดทะเบียนโอนไปยังนางอบ
พิพากษากลับให้จำเลยรับเงิน ๑๓๕,๒๐๐ บาท จากโจทก์ และให้จำเลยจดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๖๘ เลขที่ ๑๒ ตำบลทรายกองดิน อำเภอมีนบุรี (เมือง) จังหวัดพระนคร เฉพาะส่วนที่จำเลยให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย