คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 26/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข. ส.และอ.เป็นประจักษ์พยานต่างก็รู้จักจำเลยมาก่อนและเห็นว่าจำเลยนั่งอยู่ในร้านอาหารก่อนเกิดเหตุเป็นเวลานานขณะเกิดเหตุในร้านอาหารมีไฟนีออนประมาณ4ถึง5ดวงส่องสว่างบริเวณนอกชานก็มีไฟนีออนส่องสว่างผู้ตายถูกยิงอยู่ด้านข้างร้านอาหารซึ่งเป็นที่โล่งไม่มีอะไรบังน่าเชื่อว่าแสงไฟนีออนจากร้านอาหารส่องสว่างไปถึงบริเวณที่ผู้ตายถูกยิงและประจักษ์พยานทั้งสามสามารถมองเห็นคนร้ายที่ยิงผู้ตายทั้งในคืนเกิดเหตุข.ได้แจ้งแก่เจ้าพนักงานตำรวจทันทีว่าจำเลยเป็นคนยิงผู้ตายส่วนที่ประจักษ์พยานทั้งสามเบิกความแตกต่างกันเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของจำเลยนั้นอาจเพราะมาเบิกความหลังเกิดเหตุถึง3ปีเศษการจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของจำเลยอาจคลาดเคลื่อนไปบ้างข้อแตกต่างนี้จึงไม่ใช่สาระสำคัญไม่ทำให้น้ำหนักคำเบิกความของประจักษ์พยานทั้งสามเสียไปประกอบกับหลังเกิดเหตุแล้วจำเลยหลบหนีไปทำงานที่อื่นเพิ่งถูกจับหลังเกิดเหตุเกือบ2ปีนับว่าเป็นพิรุธข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 288
จำเลยให้การปฎิเสธ
ระหว่างพิจารณานายแหลม บุญมี บิดาผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุก 20 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายชาตรี บุญมีผู้ตาย มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับพวกของจำเลยที่ร้านอาหารไม่มีชื่อของนายสังวาลย์ ชื่นขำ เป็นเหตุให้ผู้ตายถูกยิงถึงแก่ความตายมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายขจร บุญมีนายสุนทร จิตโปร่ง และนายอุทัย โสภา เป็นพยานเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุนายขจรกับผู้ตายนั่งรับประทานอาหารและดื่มสุราอยู่โต๊ะเดียวกันห่างจากโต๊ะที่จำเลยกับพวกประมาณ 7 ถึง 8 คนนั่งอยู่ประมาณ 3 เมตร ส่วนนายสุนทรกับนายอุทัยต่างก็นั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้านเช่นกัน ต่อมาผู้ตายเดินไปหานายเตี้ยที่โต๊ะจำเลยกับพวก ผู้ตายได้ทะเลาะกับนายเตี้ยนายเตี้ยชกผู้ตาย ผู้ตายใช้ขวดสุราตีศีรษะนายเตี้ย นายดำกับนายหนึ่งซึ่งนั่งอยู่โต๊ะจำเลยได้เข้าช่วยนายเตี้ยโดยดึงผู้ตายพาออกไปข้างร้านอาหาร จำเลยเดินตามผู้ตายออกไปนอกร้านอาหารแล้วชักอาวุธปืนสั้นจากเอวออกมายิงผู้ตาย 2 นัด จากนั้นจำเลยกับพวกต่างหลบหนี เห็นว่า นายขจร นายสุนทร และนายอุทัยเป็นประจักษ์พยาน ต่างก็รู้จักจำเลยมาก่อนและเห็นจำเลยนั่งอยู่ในร้านอาหารก่อนเกิดเหตุเป็นเวลานาน ขณะเกิดเหตุในร้านอาหารมีไฟนีออนประมาณ 4 ถึง 5 ดวง ส่องสว่างตรงบริเวณนอกชานก็มีไฟนีออนส่องสว่าง และตามแผนที่สังเขปของสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.5ก็ปรากฏว่าบริเวณที่ผู้ตายถูกยิงอยู่ข้างร้านอาหารทางทิศตะวันออกห่างร้านอาหารประมาณ 5 เมตร สภาพของร้านอาหารตามภาพถ่ายที่โจทก์ร่วมยื่นต่อศาลรวม 7 ภาพ ปรากฎว่าด้านข้างร้านอาหารเป็นที่โล่ง ไม่มีอะไรบัง จึงน่าเชื่อว่าแสงไฟนีออนจากร้านอาหารส่องสว่างไปถึงบริเวณที่ผู้ตายถูกยิงและประจักษ์พยานทั้งสามสามารถมองเห็นคนร้ายที่ยิงผู้ตาย นอกจากนี้ ตามสำเนาบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งร้อยตำรวจโทธีระพร ธัญญาวงศ์พนักงานสอบสวนทำในคืนเกิดเหตุก็ปรากฏว่านายขจรได้แจ้งแก่ร้อยตำรวจโทธีระพรในคืนเกิดเหตุทันทีว่า นายหน่อย ดวงแจ่ม(จำเลย) เป็นคนใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย บันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุดังกล่าว จึงช่วยสนับสนุนให้คำเบิกความของประจักษ์พยานทั้งสามมีน้ำหนักมั่นคงยิ่งขึ้น ส่วนที่ประจักษ์พยานทั้งสามเบิกความแตกต่างกันเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของจำเลยนั้น ก็อาจเนื่องมาจากประจักษ์พยานทั้งสามมาเบิกความหลังเกิดเหตุถึง 3 ปีเศษ จึงอาจจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของจำเลยคลาดเคลื่อนไปบ้างข้อแตกต่างนี้จึงไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ทำให้น้ำหนักคำเบิกความของประจักษ์พยานทั้งสามเสียไป ที่จำเลยนำสืบปฎิเสธว่า ไม่ได้ยิงผู้ตายก็มีแต่คำเบิกความจำเลยปากเดียวลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ยิ่งกว่านั้น ยังได้ความอีกว่าหลังเกิดเหตุแล้วจำเลยได้หลบหนีไปทำงานที่อื่น เพิ่งถูกจับหลังเกิดเหตุเกือบ2 ปี ซึ่งนับว่าเป็นพิรุธ พยานจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อย ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share