คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ฝ่ายผู้เสียหายมีถึง8คนส่วนจำเลยมีคนเดียวการที่จำเลยชักอาวุธปืนออกมาและพูดขู่ว่าอย่าเข้ามานะพร้อมกับเดินถอยหลังไปเรื่อยๆแสดงให้เห็นว่าฝ่ายผู้เสียหายถือขวดสุราจะเข้าไปหาเพื่อทำร้ายจำเลยหาใช่เอาขวดมาถือไว้เฉยๆดังที่ผู้เสียหายเบิกความไม่หากจำเลยมีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายทั้งแปดจริงก็คงจะยิงผู้เสียหายตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเพราะจำเลยกระชากลูกเลื่อนให้กระสุนเข้าลำกล้องพร้อมจะยิงได้แล้วการที่จำเลยเดินถอยหลังไปถึง30เมตรแล้วจึงยิงแสดงให้เห็นว่าเป็นการยิงขู่โดยไม่หวังผลเพราะฝ่ายผู้เสียหายมีการขว้างขวดสุราใส่จำเลยส่วนที่ผู้เสียหายที่8และพนักงานสอบสวนเบิกความว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงไปถูกโต๊ะที่วางตู้ขายก๋วยเตี๋ยวห่างกลุ่มผู้เสียหายประมาณ1เมตรแต่ผู้เสียหายที่8ไม่ได้เห็นเองเพียงแต่เพื่อบอกพนักงานสอบสวนก็หาได้บันทึกรอยกระสุนปืนดังกล่าวไว้ในรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุหรือแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุแต่อย่างใดไม่ทั้งๆที่เป็นวัตถุพยานอันสำคัญและไม่ได้มีการพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นรอยที่เกิดจากกระสุนปืนจริงเป็นแต่พนักงานสอบสวนเข้าใจเอาเองพยานโจทก์ปากอื่นๆไม่มีผู้ใดเบิกความถึงรอยกระสุนนี้ทั้งที่วิถีกระสุนเป็นเรื่องสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยยิงปืนไปทางใดจึงยังไม่ได้สนิทใจว่ารอยดังกล่าวเกิดจากกระสุนปืนของจำเลยจริงหรือไม่ประกอบกับจำเลยมีเรื่องชกต่อยกับผู้เสียหายที่3เพียงคนเดียวไม่มีสาเหตุกับผู้เสียหายคนอื่นๆและไม่ยิงผู้เสียหายทั้งแปดเสียตั้งแต่แรกขณะอยู่ในระยะใกล้ทั้งที่สามารถกระทำได้กลับเดินถอยหลังให้ห่างออกไปและร้องห้ามมิให้พวกผู้เสียหายเข้ามาชี้ให้เห็นว่าจำเลยต้องการยิงขู่เพราะมีการขว้างขวดสุราใส่จำเลยเท่านั้นหาได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งแปดแต่อย่างใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 288 และริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ขณะเกิดเหตุจำเลยอายุเพียง18 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 คงจำคุก 8 ปี ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาโดยจำเลยมิได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นฟังได้ยุติว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงมาทางกลุ่มผู้เสียหายทั้งแปดจำนวน 2 นัด แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด จากนั้นคนร้ายได้ขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์หลบหนีสำหรับข้อหาจำเลยมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควรและโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์มิได้อุทธรณ์ ข้อหาตามฐานความผิดดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นคงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงมาทางกลุ่มผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าหรือไม่ ประจักษ์พยานโจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2ที่ 4 ที่ 5 และที่ 8 เบิกความประกอบกันว่า ขณะผู้เสียหายทั้งแปดกำลังยืนคุยกันอยู่ที่บริเวณหน้าสมาคมชายแดนสัมพันธ์จำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของชายคนหนึ่งมาจอด แล้วจำเลยลงจากรถมาพูดกับนายนิคมผู้เสียหายที่ 3 ต่อมาได้เกิดการโต้เถียงชกต่อยกอดปล้ำกัน มีผู้เข้าห้ามให้แยกออก จำเลยชักอาวุธปืนสั้นออกจากเอว กระชากลูกเลื่อนให้กระสุนเข้าลำกล้อง จ้องเล็งมาทางผู้เสียหายทั้งแปดพร้อมกับพูดว่าอย่าเข้ามานะ แล้วจำเลยเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ จนถึงประตูทางเข้าบ้านพักตำรวจตระเวนชายแดน จำเลยได้ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงมาทางกลุ่มผู้เสียหายทั้งแปด 1 นัด ผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 และที่ 4ใช้ขวดสุราขว้างไปที่จำเลย จำเลยยิงปืนมาอีก 1 นัด แล้วขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ซึ่งพวกจำเลยเป็นผู้ขับหลบหนีกระสุนปืนที่จำเลยยิงมาทั้งสองนัดไม่ถูกผู้เสียหายทั้งแปดแต่ไปถูกโต๊ะที่วางตู้ขายก๋วยเตี๋ยวซึ่งอยู่ห่างจากกลุ่มผู้เสียหายประมาณ 1 เมตร ฝ่ายจำเลยมีตัวจำเลย จ่าสิบเอกสมพงษ์ อุทัยรัตน์และนางวินัย พวงอ้อ เป็นพยานเบิกความว่า คืนเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่บ้านตลอดเวลา เห็นว่าที่เกิดเหตุอยู่บริเวณหน้าสมาคมชายแดนสัมพันธ์ นอกจากพยานโจทก์ดังกล่าวแล้วร้อยตำรวจเอกกฤษกร พลีธัญญวงศ์ พนักงานสอบสวนซึ่งเป็นผู้ตรวจสถานที่เกิดเหตุก็เบิกความยืนยันว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟจากร้านค้าจากหน้าสมาคมและจากเสาไฟฟ้าข้างถนนมองเห็นกันได้ชัดเจนผู้เสียหายที่ 2 และที่ 4 รู้จักจำเลยมาก่อน โดยเฉพาะผู้เสียที่ 4 เคยเรียนหนังสืออยู่โรงเรียนเดียวกันกับจำเลยหลังเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในทันทีระบุว่าจำเลยเป็นคนร้าย เมื่อจับจำเลยได้ในวันรุ่งขึ้น ผู้เสียหายทั้งแปดชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องจำเลยเองก็เบิกความรับว่าผู้เสียหายที่ 4 เป็นเพื่อนของจำเลย ผู้เสียหายที่ 3 เคยอยู่โรงเรียนเดียวกับจำเลย จึงน่าเชื่อว่าผู้เสียหายทั้งแปดจำเลยได้พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างได้ ฟังได้ว่าคืนเกิดเหตุจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงมาทางกลุ่มผู้เสียหาย 2 นัด จริง คงมีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งแปดดังโจทก์ฟ้องหรือไม่แม้จำเลยจะมิได้ยกเหตุนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ แต่เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องปรากฎจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 8 ว่า เมื่อมีผู้แยกจำเลยกับผู้เสียหายที่ 3 ออกจากกันแล้วจำเลยชักอาวุธปืนออกมาจากเอว กระชากลูกเลื่อนให้กระสุนเข้าลำกล้องจ้องเล็งมาทางกลุ่มผู้เสียหายพูดขู่ว่าอย่าเข้ามานะพร้อมกับเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ ผู้เสียหายบางคนหยิบขวดสุรามาถือไว้ จำเลยถอยหลังไปได้ประมาณ 30 เมตร ได้ใช้อาวุธปืนยิงมาทางกลุ่มผู้เสียหาย 1 นัด ผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 และที่ 4ใช้ขวดสุราขว้างจำเลย จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงมาอีก 1 นัดเห็นว่า ฝ่ายผู้เสียหายมีถึง 8 คน ส่วนจำเลยมีคนเดียว พวกของจำเลยที่ขับรถจักรยานยนต์ไม่ปรากฎว่าได้เข้ามาร่วมต่อสู้ด้วยการที่จำเลยชักอาวุธปืนออกมาและพูดขู่ว่าอย่าเข้ามานะ พร้อมกับเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นว่าฝ่ายผู้เสียหายถือขวดสุราจะเข้าไปหาเพื่อทำร้ายจำเลยหาใช้เอาขวดมาถือไว้เฉย ๆดังที่ผู้เสียหายเบิกความไม่ หากจำเลยมีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายทั้งแปดจริงก็คงจะยิงผู้เสียหายเสียตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพราะจำเลยกระชากลูกเลื่อนให้กระสุนเข้าลำกล้องพร้อมจะยิงได้แล้วการที่จำเลยเดินถอยหลังไปถึง 30 เมตร แล้วจึงยิง แสดงให้เห็นว่าเป็นการยิงขู่โดยไม่หวังผลเพราะฝ่ายผู้เสียหายมีการขว้างขวดสุราใส่จำเลยที่ผู้เสียหายที่ 8 และร้อยตำรวจเอกกฤษกรเบิกความว่า กระสุนปืนที่จำเลยยิงไปถูกที่โต๊ะวางตู้ขายก๋วยเตี๋ยวซึ่งอยู่ห่างกลุ่มผู้เสียหายประมาณ 1 เมตร แต่ผู้เสียหายที่ 8 ไม่ได้เห็นเองเพียงแต่เพื่อนบอก ร้อยตำรวจเอกกฤษกรก็หาได้บันทึกรอยกระสุนปืนดังกล่าวไว้ในรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุหรือแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุแต่อย่างใดไม่ทั้ง ๆ ที่เป็นวัตถุพยานอันสำคัญ ไม่ได้มีการพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นรอยที่เกิดจากกระสุนปืนจริง เป็นแต่ร้อยตำรวจเอกกฤษกรเข้าใจเอาเอง พยานโจทก์ปากอื่น ๆ ไม่มีผู้ใดเบิกความถึงรอยกระสุนนี้โดยเฉพาะผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่า ไม่ทราบวิถีกระสุนไปทางใด ถ้ากระสุนปืนถูกโต๊ะที่วางตู้ขายก๋วยเตี๋ยวซึ่งอยู่ห่างกลุ่มผู้เสียหายเพียง 1 เมตร ย่อมเกิดเสียงให้ผู้เสียหายที่ 1 และคนอื่น ๆ รู้ด้วย และน่าจะได้มีการนำชี้ให้พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ในรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุเสียตั้งแต่ตอนแรก เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยยิงปืนไปทางใด จึงยังฟังไม่ได้สนิทใจว่ารอยดังกล่าวเกิดจากกระสุนปืนของจำเลยจริงหรือไม่ ประกอบกับจำเลยมีเรื่องชกต่อยกับผู้เสียหายที่ 3 เพียงคนเดียว ไม่มีสาเหตุกับผู้เสียหายคนอื่น ๆ และไม่ยิงผู้เสียหายทั้งแปดเสียตั้งแต่แรกขณะอยู่ในระยะใกล้ทั้งที่สามารถกระทำได้ กลับเดินถอยหลังให้ห่างออกไปละร้องห้ามมิให้พวกผู้เสียหายเข้ามา ชี้ให้เห็นว่าจำเลยต้องการยิงขู่เพราะมีการขว้างขวดสุราใส่จำเลยเท่านั้น หาได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียทั้งแปดแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 3

Share