คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2596/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรจำเลยยื่นคำให้การรับสารภาพฐานรับของโจร เมื่อศาลชั้นต้นสอบจำเลย จำเลยกลับแถลงเพิ่มเติมว่า จำเลยไม่รู้ว่าทรัพย์ที่เอามาเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา แม้ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ยังไม่ทราบคำแถลงเพิ่มเติมที่เป็นการให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์แต่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานรับของโจรไปโดยผิดหลง เพราะเห็นว่าจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ศาลชั้นต้นจึงมิได้เปิดโอกาสให้โจทก์สืบพยานเช่นนี้ เมื่อมิใช่เป็นกรณีที่โจทก์ทราบแล้วว่าจำเลยให้การปฏิเสธ แต่โจทก์ไม่ติดใจสืบพยานการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีลงโทษจำเลยไป จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1)ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15เมื่อความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาระหว่างโจทก์กับจำเลย แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334, 335, 336 ทวิ, 357 และ 83
จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การรับสารภาพฐานรับของโจรและศาลชั้นต้นสอบจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 แถลงเพิ่มเติมว่า จำเลยที่ 1 ร่วมไปกับจำเลยที่ 2 แต่ไม่รู้ว่าทรัพย์ที่เอามาเป็นการลักมาและไปขายทรัพย์กับจำเลยที่ 2 แต่ไม่ได้รับส่วนแบ่ง ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 1 ปีจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(8)วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุก 1 ปี 6 เดือนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน จำเลยที่ 2 จำคุก 9 เดือน
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จากคำแถลงเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ยังคงปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องและโจทก์ต้องสืบพยานให้ได้ตามฟ้องศาลชั้นต้นจึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ไม่ได้สืบพยานจึงเป็นการไม่ชอบพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะจำเลยที่ 1 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า เมื่อถือว่าจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องสืบพยานให้ได้ความตามฟ้อง ปรากฏว่าโจทก์ไม่สืบพยาน ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตั้งแต่ชั้นสืบพยานจึงไม่ชอบศาลอุทธรณ์ภาค 2 น่าจะพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ เห็นว่าจำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2539 อันเป็นวันนัดสอบคำให้การและนัดสืบพยานโจทก์ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 13 กันยายน 2539ซึ่งเป็นวันฟ้อง ศาลสอบจำเลยที่ 1 ในวันที่จำเลยที่ 1ยื่นคำให้การและบันทึกข้อที่จำเลยที่ 1 แถลงเพิ่มเติมไว้ในวันนั้นพร้อมกับสั่งให้สำเนาให้โจทก์ไว้ในคำให้การของจำเลยที่ 1 แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ชื่อรับสำเนาคำให้การจำเลยที่ 1 ในคำให้การของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นพิพากษาในวันเดียวกัน แสดงว่าโจทก์ยังไม่ทราบคำแถลงเพิ่มเติมที่เป็นการให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ของจำเลยที่ 1 จึงมิใช่เป็นกรณีที่โจทก์ทราบแล้วว่าจำเลยให้การปฏิเสธ แต่โจทก์ไม่สืบพยานดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกา แต่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไปโดยเห็นว่าจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจรโดยผิดหลง จึงมิได้เปิดโอกาสให้โจทก์สืบพยานที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ไปจึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ชอบที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share