แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรุงเทพมหานครโจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติเทศบาลพ.ศ. 2496 และมีสิทธิทำกิจการเทศพาณิชย์ได้ตามมาตรา 57 ประกอบด้วยมาตรา 55(12) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2511 การที่โจทก์จัดทำกิจการสถานธนานุบาล (โรงรับจำนำ) ซึ่งเป็นการค้าขายอย่างหนึ่งตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.2505 ย่อมถือได้ว่าเป็นการจัดทำกิจการเทศพาณิชย์อย่างหนึ่ง เพราะคำว่า “เทศพาณิชย” หมายความถึงการค้าขายของประเทศของบ้านเมือง หรือของท้องถิ่น
จำเลยไม่ได้ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายให้ชัดเจนว่าการค้ำประกันเริ่มตั้งแต่เมื่อใด เมื่อจำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะเหตุดังกล่าวศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ เพราะไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน พ. รายละเอียดปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้อง และตามเอกสารท้ายฟ้องก็เป็นสำเนาสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำสัญญาค้ำประกัน พ. ต่อโจทก์ตรงกับที่บรรยายฟ้อง ดังนี้ แม้สำเนาค้ำประกันท้ายสำเนาฟ้องที่ส่งให้จำเลยจะเป็นสำเนาค้ำประกันบุคคลอื่นไม่ใช่สำเนาค้ำประกัน พ. ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะจำเลยอาจขอดูสำเนาสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องหรือขอให้ศาลสั่งให้โจทก์ส่งสำเนาค้ำประกันที่ถูกต้องให้จำเลยได้
พ.กระทำผิดหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังยักยอกทรัพย์สินของโจทก์ไป โจทก์ย่อมฟ้องเรียกคืนทรัพย์หรือให้ใช้ราคาได้อันเป็นการฟ้องเรียกคืนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 และปรากฏว่าการที่ พ. ยักยอกทรัพย์ของโจทก์ดังกล่าวศาลอาญาพิพากษาจำคุก พ. คดีถึงที่สุดแล้วก่อนโจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยผู้ค้ำประกันเป็นคดีนี้ สิทธิของโจทก์ซึ่งจะเรียกร้องให้ พ. รับผิดในทางแพ่งย่อมมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสาม มิใช่มีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ซึ่งจำเลยยกข้อต่อสู้ของ พ.ผู้เป็นลูกหนี้ที่มีต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ตามมาตรา 694
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทยให้ทำการเทศพาณิชย์เกี่ยวกับสถานธนานุบาล (โรงรับจำนำ) จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันนายพิศาลซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ว่า ถ้าโจทก์ได้รับความเสียหายใด ๆ เพราะนายพิศาล จำเลยจะยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ ต่อมาปรากฏว่านายพิศาลทุจริตเบียดบังยักยอกเอาทรัพย์สินของโจทก์ไป 1,009,750 บาท จึงขอให้จำเลยชดใช้ พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจกระทำกิจการสถานธนานุบาลฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และคดีขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโดยอ้างว่ากิจการสถานธนานุบาลไม่ใช่เทศพาณิชย์ จึงอยู่นอกวัตถุประสงค์ของโจทก์ คณะกรรมการอำนวยการและคณะกรรมการจัดการมีอำนาจหน้าที่จัดการควบคุมดำเนินงานสถานธนานุบาลต่างหากจากโจทก์ และทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องเป็นของผู้รับจำนำ ไม่ใช่เป็นทรัพย์ของโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้พระราชบัญญัติเทศบาลพ.ศ. 2496 มิได้นิยามคำว่าเทศพาณิชย์ไว้ และโจทกืไม่ได้นำสืบว่ากิจการสถานธนานุบาลเป็นเทศพาณิชย์ แต่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 นิยามคำว่า เทศว่า เทศ คือ น. ประเทศ, บ้านเมือง, ถิ่นที่, ท้องถิ่นและนิยามคำว่า พาณิชย์ว่า พาณิชย์ น. การค้าขาย คำว่าเทศพาณิชย์จึงหมายถึงการค้าขายของประเทศ การค้าขายของบ้านเมืองและการค้าของท้องถิ่นสถานธนานุบาลก็คือโรงรับจำนำ ซึ่งพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. 2505นิยามคำว่าโรงรับจำนำว่า โรงรับจำนำหมายความว่าสถานที่รับจำนำซึ่งประกอบการรับจำนำสิ่งของเป็นประกันหนี้เงินกู้เป็นปกติธุระแต่ละรายมีจำนวนเงินไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท และหมายความรวมตลอดถึงการรับหรือซื้อสิ่งของโดยจ่ายเงินให้สำหรับสิ่งของนั้นเป็นปกติธุระแต่ละรายมีจำนวนเงินไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทโดยมีข้อตกลง หรือเข้าใจกันโดยตรงหรือโดยปริยายว่าจะได้ไถ่คืนในภายหลังการจัดทำกิจการสถานธนานุบาลหรือโรงรับจำนำจึงเป็นการค้าขายอย่างหนึ่งการที่โจทก์จัดทำกิจการสถานธนานุบาล (โรงรับจำนำ) จึงเป็นการจัดทำกิจการเทศพาณิชย์อย่างหนึ่งซึ่งโจทก์ไม่จำต้องนำสืบว่าการจัดทำกิจการสถานธนานุบาล เป็นการจัดทำกิจการเทศพาณิชย์ โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และมีสิทธิทำกิจการเทศพาณิชย์ได้ ตามมาตรา 57 ประกอบด้วยมาตรา 54(12) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2511ทั้งกระทรวงมหาดไทยก็อนุมัติให้โจทก์จัดตั้งสถานธนานุบาลได้ การจัดทำกิจการสถานธนานุบาลจึงอยู่ในวัตถุประสงค์ของโจทก์ แม้กระทรวงมหาดไทยจะวางระเบียบว่าด้วยการควบคุมและดำเนินงานสถานธนานุบาลของเทศบาล ให้มีคณะกรรมการอำนวยการสถานธนานุบาลคณะหนึ่งเรียกว่าคณะกรรมการควบคุมและดำเนินงานสถานธนานุบาลของเทศบาลเรียกชื่อย่อว่า ส.ธ.ท. และให้มีคณะกรรมการจัดการสถานธนานุบาลของเทศบาลคณะหนึ่งเรียกชื่อย่อว่าจ.ส.ท. ก็ตาม แต่คณะกรรมการทั้ง 2 คณะดังกล่าวไม่เป็นนิติบุคคล จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ทั้งจำเลยทำสัญญาค้ำประกันนายพิศาลไว้กับโจทก์ว่า ถ้าโจทก์ได้รับความเสียหายเพราะนายพิศาลประพฤติบกพร่องหรือกระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้สถานธนานุบาลของโจทก์ต้องเสียหาย จำเลยยอมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสิ้นตามเอกสารหมาย จ.29 เมื่อนายพิศาลกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริตเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายรวมเป็นเงิน 1,007,750 บาท แล้วนายพิศาลและจำเลยไม่ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายดังกล่าวให้โจทก์ตามสัญญาค้ำประกันได้ ที่จำเลยอ้างว่าทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องไม่ใช่เป็นของโจทก์ แต่เป็นของผู้จำนำ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ก็ปรากฏจากข้อนำสืบของโจทก์ว่า นายพิศาลมิได้ยักยอกทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง แต่ยักยอกเงินสดของโจทก์โดยนายพิศาล นำเอาทรัพย์ที่รับจำนำไว้ออกมาจำนำและรับเงินไปอีก การที่โจทก์ฟ้องว่านายพิศาลกระทำผิดต่อหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังยักยอกทรัพย์ของโจทก์ และไม่ยอมคืนหรือใช้ราคาทรัพย์1,007,750 บาท ปรากฏรายละเอียดตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องแล้วนำสืบว่านายพิศาลกระทำผิดต่อหน้าที่โดยทุจริตยักยอกเงินสดของโจทก์โดยนำเอาทรัพย์ที่รับจำนำไว้ออกมาจำนำและรับเงินไปรวมทั้งสิ้น 1,007,750 บาท ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น เพราะโจทก์คงนำสืบตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่า นายพิศาลกระทำผิดต่อหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังยักยอกเอาทรัพย์สินของโจทก์ไปหรือไม่ และเป็นค่าเสียหายเท่าใด รูปคดีตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1165/2517 ที่จำเลยอ้าง ไม่ตรงกับรูปคดีในคดีนี้
ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่ได้บรรยายให้ชัดเจนว่าการค้ำประกันเริ่มกันตั้งแต่เมื่อใด มีกำหนดระยะเวลาหรือไม่ และสำเนาสัญญาค้ำประกันที่แนบท้ายสำเนาฟ้องเป็นสัญญาค้ำประกันนางอัปสรแตกต่างกับสำเนาสัญญาค้ำประกันที่แนบท้ายฟ้อง ซึ่งเป็นสัญญาค้ำประกันนายพิศาล ทำให้จำเลยเสียเปรียบเพราะหลงข้อต่อสู้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในการตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น จำเลยจะต้องให้การให้ชัดแจ้งว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะเหตุใดและในการอุทธรณ์ฎีกาจำเลยจะต้องอุทธรณ์ฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะเหตุอย่างเดียวกับที่จำเลยให้การไว้ หากว่าจำเลยอุทธรณ์ฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะเหตุอื่นที่จำเลยไม่ได้ให้การไว้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาจะไม่วินิจฉัยหรือฎีกาของจำเลยเพราะไม่ใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 และไม่ใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 249จำเลยมิได้ให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่ได้บรรยายให้ชัดเจนว่าการค้ำประกันเริ่มตั้งแต่เมื่อใด ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะเหตุดังกล่าว เพราะไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่ได้บรรยายให้ชัดเจนว่าการค้ำประกันมีกำหนดระยะเวลาหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้ฟ้องของโจทก์จะไม่บรรยายว่าการค้ำประกันมีกำหนดระยะเวลาหรือไม่ก็ตาม แต่ตามภาพถ่ายสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง ระบุไว้ในข้อ 2 ว่าสัญญาค้ำประกันนี้ข้าพเจ้า (จำเลย) ยินยอมให้ดำรงอยู่ตลอดไปตราบเท่าที่นายพิศาลยังปฏิบัติงานอยู่ในสถานธนานุบาลเทศบาลนครกรุงเทพ จึงถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องแล้วว่าสัญญาค้ำประกันมีกำหนดตลอดระยะเวลาที่นายพิศาลยังปฏิบัติงานอยู่ในสถานธนานุบาลของโจทก์ และที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะสำเนาสัญญาค้ำประกันที่แนบท้ายสำเนาฟ้องเป็นสัญญาค้ำประกันนางอัปสร แตกต่างกับสำเนาสัญญาค้ำประกันที่แนบท้ายฟ้องซึ่งเป็นสัญญาค้ำประกันนายพิศาลนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้จำเลยจะทราบเหตุดังกล่าวหลังจากที่ได้ยื่นคำให้การแล้ว แต่เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันนายพิศาลรายละเอียดปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้อง และตามเอกสารท้ายฟ้องก็เป็นสำเนาสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำสัญญาค้ำประกันนายพิศาลต่อโจทก์ตรงกับที่โจทก์บรรยายฟ้อง แม้สำเนาค้ำประกันท้ายสำเนาฟ้องที่ส่งให้จำเลยจะเป็นสำเนาสัญญาค้ำประกันนางอัปสร ไม่ใช่สำเนาสัญญาค้ำประกันนายพิศาลก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะตามสำเนาฟ้องก็บรรยายว่า จำเลยค้ำประกันนายพิศาลรายละเอียดปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้อง เมื่อสำเนาเอกสารท้ายฟ้องสำเนาฟ้องเป็นสัญญาค้ำประกันนางอัปสรไม่ใช่สัญญาค้ำประกันนายพิศาล จำเลยก็อาจขอดูสำเนาสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องหรือขอให้ศาลสั่งให้โจทก์ส่งสำเนาค้ำประกันที่ถูกต้องให้จำเลยได้ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมดังที่จำเลยฎีกา
ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์นำคดีมาฟ้องหลังจากทราบการกระทำผิดอาญาของนายพิศาลเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 อันเป็นการยกข้อต่อสู้ที่นายพิศาลผู้เป็นลูกหนี้มีต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 694นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการที่นายพิศาลกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังยักยอกเอาทรัพย์สินของโจทก์ไป แล้วโจทก์ฟ้องให้นายพิศาลคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ดังกล่าวเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์ของโจทก์คืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 ไม่ใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด นอกจากนี้ยังปรากฏว่าการที่นายพิศาลกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังยักยอกเอาทรัพย์ของโจทก์ไปนั้น ศาลอาญาพิพากษาจำคุกนายพิศาล และคดีถึงที่สุดแล้วก่อนที่โจทก์จะยื่นฟ้องคดีนี้ สิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่จะเรียกร้องให้นายพิศาลรับผิดในทางแพ่งย่อมมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 168 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสามคดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามฎีกาของจำเลย
พิพากษายืน