คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2595/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเข้าครอบครองและปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทมากว่า 10 ปี จนจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์มาก่อนที่โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมาจาก ว. เจ้าของกรรมสิทธิ์เดิม แม้จำเลยจะมิได้จดทะเบียนสิทธินั้น จึงไม่อาจยกขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่ซื้อที่ดินนั้นมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทน และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสองได้ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์เองก็มิได้ดำเนินการเพื่อแสดงสิทธิดังกล่าวแก่จำเลย กลับปล่อยปละละเลยให้จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทจนกลายเป็นการครอบครองปรปักษ์ต่อโจทก์ต่อมาอีก ฉะนั้น เมื่อจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อมานับตั้งแต่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วจำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ และยกขึ้นใช้ยันโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้อยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์แต่ประการใด ที่ดินพิพาทเดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของบิดามารดาจำเลย และในปี 2530 บิดามารดาจำเลยได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย แต่ยังมิได้จดทะเบียนโอนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ให้ บิดามารดาจำเลยได้ถึงแก่กรรมเสียก่อนแต่จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลานานกว่า 30 ปี แล้วจำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาให้ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ห้ามโจทก์เกี่ยวข้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโฉนดพิพาทของโจทก์ และห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป กับให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง และให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลย ที่ดินโฉนดเลขที่14926 ซึ่งมีเนื้อที่ 20 ไร่เศษ มีชื่อนางหมา ทองจันทร์มารดาจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2512นางหมาจดทะเบียนขายฝากให้นายณรงค์ วาสนารุ่งโรจน์วันที่ 29 พฤษภาคม 2518 นายณรงค์จดทะเบียนให้แก่นายสมชาย วาสนารุ่งโรจน์ วันที่ 25 สิงหาคม 2519นายสมชายจดทะเบียนขายให้แก่ร้อยตรีวัลลภ กรีกุลและในวันที่ 30 กรกฎาคม 2523 ร้อยตรีวัลลภได้จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามโฉนดที่ดินในนามเดิมออกเป็น 70 แปลงเพื่อดำเนินการจัดสรรขาย ซึ่งโจทก์ก็ได้ซื้อที่ดินแปลงพิพาทตามโฉนดที่ดินที่แบ่งแยกออกมาเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 26615เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2524 จำเลยได้ปลูกบ้านเลขที่ 70หมู่ที่ 2 อยู่อาศัยในที่ดินพิพาทพร้อมด้วย ภริยาและบุตรรวม11 คน ซึ่งจำเลยอ้างการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงพิพาทด้วยการครอบครองปรปักษ์ โดยจำเลยและนางตุ๊ ทองจันทร์ภริยาเบิกความเป็นพยานว่า นางหมาได้ยกที่ดินส่วนที่เป็นที่ดินพิพาทให้จำเลยอาศัยอยู่มานานประมาณ 30 ปีแล้วโดยไม่ได้มีการจดทะเบียนยกให้แต่อย่างใด จำเลยจึงได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทซึ่งได้รื้อไปและปลูกหลังใหม่ขึ้นแทนเมื่อประมาณ 20 ปี แล้วบุตรทั้ง 11 คน ของจำเลยก็เกิดที่บ้านดังกล่าวนั้นข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ และพยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์คดีฟังได้ว่า จำเลยเข้าครอบครองและปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทมากกว่า 10 ปี ก่อนที่จะเป็นของโจทก์เมื่อโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจากร้อยตรีวัลลภ แม้จำเลยจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์มาก่อนและจำเลยมิได้จดทะเบียนสิทธินั้น ทำให้ไม่อาจยกขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่ซื้อที่ดินนั้นมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ก็ตามแต่โจทก์มิได้ดำเนินการเพื่อแสดงสิทธิดังกล่าวแก่จำเลยกลับปล่อยปละละเลยให้จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทจนกลายเป็นการครอบครองปรปักษ์ต่อโจทก์ต่อมาอีก ฉะนั้น เมื่อจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อมานับตั้งแต่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2524 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2536อันเป็นวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ และยกขึ้นใช้ยันโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแล้ว จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ขับไล่จำเลย
พิพากษายืน

Share