คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์อยู่กับมารดาที่เรือนมารดาในที่พิพาท ก่อนมารดาตาย มารดาตายที่พิพาทตกเป็นมรดกของมารดา โจทก์ก็ยังคงอยู่ที่เรือนมารดาอีกหลายเดือนนับแต่มารดาตาย แล้วเรือนมารดาก็ถูกรื้อถวายวัด โจทก์จึงมาอยู่ที่เรือนจำเลยในที่พิพาทอีกหลายเดือน รวมเวลาที่โจทก์อยู่ในที่พิพาทหลังจากมารดาตายได้ราวปีเศษ โจทก์จึงไปอยู่ที่จังหวัดอื่น นับว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกมากับจำเลยด้วยกันในตอนแรก โจทก์กับจำเลยจึงมีฐานะเป็นเจ้าของทรัพย์มรดกร่วมกันมา การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทต่อมาถือได้ว่าครอบครองที่พิพาทไว้แทนในฐานะเจ้าของร่วม แม้โจทก์มาฟ้องขอให้แบ่งมรดกที่พิพาทภายหลังมารดาตายแล้ว 18 ปี คดีก็ไม่ขาดอายุความ
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฟ้องจำเลยคนเดียว ขอให้แบ่งที่ดินมรดกให้แก่โจทก์ทั้งสองคนคนละ 1 ใน 3 ส่วน แต่ปรากฏว่าคดีสำหรับโจทก์ที่ 1 ขาดอายุความมรดกแล้ว โจทก์ที่ 2 คงมีสิทธิรับมรดกร่วมกับจำเลยเพียง 2 คน ดังนี้ ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งมรดก 1 ใน 2 ส่วนไม่ได้ เพราะเกินคำขอ คงพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งมรดก 1 ใน 3 ส่วน ตามคำขอ
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 12/2505

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งมรดกที่บ้านมีโฉนดตราจองและที่นาอีก ๑ แปลง คนละ ๑ ใน ๓ ส่วน
จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยได้ครอบครองมาฝ่ายเดียว คดีขาดอายุความมรดก
ในวันชี้สองสถาน โจทก์ถอนฟ้องเฉพาะที่นา คงพิพาทกันเฉพาะที่บ้าน ซึ่งรับกันว่าเป็นมรดกของนางริดมารดาโจทก์จำเลย นางรินตายมาได้ ๑๘ ปีแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยได้ครอบครองที่บ้านมรดกมาฝ่ายเดียว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่านายแป้ะโจทก์ ไม่ได้ครอบครองที่พิพาท ส่วนนางหลิมโจทก์ เคยอยู่กับนางริดมารดาที่เรือนมารดาในที่พิพาท นางริดตายมาราว ๑๘ ปีแล้ว เมื่อนางริดตายราว ๔-๕ เดือน พวกลูก ๆ ได้ตกลงรื้อเรือนถวายวัด นางหลิมโจทก์คงอาศัยอยู่ที่เรือนรายเช้าจำเลย ซึ่งปลูกอยู่ติดต่อกับเรือนนางริดในที่ดินพิพาทนั้นเอง อยู่ได้ราว ๗-๘ เดือน ก็ไปอยู่จังหวัดเพชรบูรณ์ เพิ่งจะกลับมาเมื่อราวเดือน ๓-๔ พ.ศ. ๒๔๙๘ แล้วเกิดคดีฟ้องร้องกันระหว่างโจทก์จำเลยเมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๔๙๘
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่นางหลิมโจทก์อยู่เรือนมารดามาอีกหลายเดือนนับแต่มารดาตาย แล้วอยู่ที่เรือนนายเช้าจำเลยในที่พิพาทอีก รวมอยู่ได้ราวปีเศษจึงไปอยู่จังหวัดเพชรบูรณ์นั้น นับว่านางหลิมได้ครอบครองที่พิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกมากับนายเช้าด้วยกันในตอนแรก ฉะนั้น นางหลิมโจทก์กับนายเช้าจึงมีฐานะเป็นเจ้าของทรัพย์มรดกร่วมกันมา การมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในเบื้องต้นต้องถือว่าได้ครอบครองไว้แทนกันตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๙ เจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมฝ่ายหนึ่งจะอ้างอำนาจครอบครองเป็นปรปักษ์ได้ก็ต่อเมื่อได้แจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบว่าไม่มีเจตนาจะยึดทรัพย์สินนั้นแทนต่อไป ดังนี้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๑ แต่คดีนี้ไม่ปรากฏว่านายเช้าจำเลยได้แจ้งให้นางหลิมทราบว่าตนจะครองครองที่พิพาทไว้เป็นปรปักษ์เพื่อตนโดยเฉพาะ ดังนี้ ในระหว่างที่นางหลิมไปอยู่จังหวัดเพชรบูรณ์ จึงถือว่านายเช้าได้ครอบครองไว้แทนในฐานะเป็นเจ้าของร่วม คดีสำหรับนางหลิมยังไม่ขาดอายุความ
เมื่อนางหลิมและนายเช้าคงเป็นผู้รับมรดกนางริดมารดาอยู่เพียง ๒ คน นางหลิมจึงมีสิทธิได้รับทรัพย์พิพาท ๑ ใน ๒ ส่วน แต่ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ตามคำขอท้ายฟ้องของนางหลิม ๆ ขอส่วนได้เพียง ๑ ใน ๓ ส่วน ฉะนั้น ศาลจะพิพากษาให้เกินคำขอไม่ได้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้แบ่งทรัพย์ที่พิพาทให้นางหลิมโจทก์ตามคำขอ ๑ ใน ๓ ส่วน

Share