คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยนำสินค้าของเด็กเล่นจากเมืองฮ่องกงเข้ามาในราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบแล้วปรากฏว่าจำเลยสำแดงราคาสินค้าต่ำกว่าความเป็นจริง จึงแจ้งการประเมินให้จำเลยชำระภาษีอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มเติม เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินให้จำเลยชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มขึ้นต่อคณะกรรมการพิจารณา อุทธรณ์ตาม ป. รัษฎากรจึงต้องถือว่าการประเมินให้จำเลยชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มขึ้นเป็นอันชอบแล้ว.
ตาม ป. รัษฎากร มาตรา 89 ทวิ ผู้ประกอบการค้าต้องชำระเงินเพิ่มตามอัตราที่กฎหมายกำหนด เมื่อไม่ชำระภาษีการค้าภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อันเป็นทางแก้ กรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้โดยเฉพาะแล้ว จะนำ ป.พ.พ. มาตรา 224ว่าด้วยดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดมาเรียกร้องเอากับลูกหนี้ซ้ำอีกหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำสินค้าของเด็กเล่นจากเมืองฮ่องกงเข้ามาในราชอาณาจักรโดยสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง เจ้าหน้าที่ของโจทก์จึงมีคำสั่งให้วางเงินประกันค่าภาษีอากร 164,500 บาทแล้วปล่อยสินค้าให้จำเลยรับไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจพบราคาอันแท้จริงในท้องตลาดสำหรับสินค้าที่จำเลยนำเข้าคิดเป็นเงิน374,767.59 บาท ต้องชำระอากรขาเข้า ภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลรวม 367,859.11 บาท เมื่อหักเงินที่จำเลยชำระและวางประกันไว้แล้วจำเลยต้องชำระภาษีอากร ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มเติมให้โจทก์อีกรวม 136,700.99 บาท เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยไม่อุทธรณ์และไม่นำเงินมาชำระ จึงต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้า เงินเพิ่มภาษีการค้า และเงินเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาลรวมเป็นเงินภาษีอากรที่จำเลยต้องชำระให้โจทก์ทั้งสิ้น 220,089.00 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยของจำนวนภาษีอากรค้างชำระ 136,700.99 บาท ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยให้การว่า ราคาที่สำแดงไว้ในใบขนสินค้าเป็นราคาแท้จริงที่ซื้อขายในท้องตลาด การประเมินราคาของโจทก์ปราศจากหลักเกณฑ์ที่แน่นอน เป็นการประเมินที่มิชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีกฎหมายบัญญัติให้จำเลยต้องชำระเงินเพิ่มดังที่โจทก์ฟ้องทั้งจำเลยไม่ต้องอุทธรณ์การประเมินเพราะมิใช่เป็นการประเมินตามประมวลรัษฎากร จำเลยไม่เคยรับแจ้งการประเมิน จึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มให้โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยนำของเด็กเล่นจำนวน 438 หีบห่อ หนัก 2,177 กิโลกรัม จากเมืองฮ่องกงเข้ามาในราชอาณาจักร สำแดงราคา 67,282.40 บาท ต้องชำระภาษีอากรรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 65,797.80 บาท พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์เห็นว่า มีปัญหาเกี่ยวกับค่าอากรจึงมีคำสั่งให้จำเลยวางเงินประกันค่าภาษีอากรรวม 165,500 บาท ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์เห็นว่าราคาที่จำเลยสำแดงไว้ต่ำจึงประเมินราคาเพิ่มเป็นเงิน374,767.59 บาท แล้วมีคำสั่งให้จำเลย ชำระภาษีอากรเพิ่ม136,700.99 บาท มีปัญหาว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาอันแท้จริงสำหรับสินค้าของเด็กเล่นที่จำเลยนำเข้าหรือไม่…
พิเคราะห์แล้ว ที่นายจิรวัฒน์เจ้าหน้าที่ของโจทก์อ้างว่าก่อนจำเลยนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร มีผู้นำเข้ารายอื่นนำสินค้าชนิดเดียวกันจากเมืองฮ่องกงเข้ามาก่อนแล้วปรากฏว่าราคาสูงกว่าราคาที่จำเลยนำเข้า จึงประเมินราคาสินค้าของจำเลยให้สูงขึ้น โดยนำราคาสินค้าที่นำเข้ามาก่อนมาเปรียบเทียบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า มีผู้นำสินค้าอย่างเดียวกันเข้ามาในราชอาณาจักรก่อนจำเลยนำสินค้าเข้ามาตามราคาที่นายจิรวัฒน์ประเมินหรือไม่โจทก์ไม่มีพยานอื่นประกอบคำเบิกความของนายจิรวัฒน์จึงเลื่อนลอยมีน้ำหนักน้อยข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า ราคาตามที่นายจิรวัฒน์ประเมินเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดที่โจทก์ฎีกาว่า ทางพิจารณาจำเลยไม่อาจสืบหักล้างหรือพิสูจน์ว่าเจ้าพนักงานประเมินได้กระทำโดยไม่สุจริตหรือไม่เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อพยานเบิกความลอย ๆ ไม่ประกอบด้วยเหตุผลแม้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะไม่นำสืบหักล้าง คำพยานนั้นก็คงเลื่อนลอยไม่ประกอบด้วยเหตุผลเชื่อถือไม่ได้อยู่นั่นเองที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนภาษีอากรขาเข้านั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่สำหรับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล ซึ่งเป็นภาษีฝ่ายสรรพากรนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินที่ประเมินให้จำเลยชำระภาษีการค้าเพิ่มขึ้นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามประมวลรัษฎากร ข้อเท็จจริงเป็นอันฟังได้ว่าการประเมินให้จำเลยชำระภาษีการค้าเป็นอันชอบแล้วจำเลยจึงต้องชำระภาษีการค้า 22,193.49 บาท ภาษีบำรุงเทศบาล2,204.35 บาท เงินเพิ่มภาษีการค้า 13,426.77 บาท และเงินเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาล 1,342.68 บาท รวมเป็นเงิน 19,182.29 บาทให้โจทก์ สำหรับคำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของภาษีอากรค้างชำระนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ทวิผู้ประกอบการค้าต้องชำระเงินเพิ่มตามอัตราที่กฎหมายกำหนด เมื่อไม่ชำระภาษีการค้าภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ อันเป็นทางแก้กรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้โดยเฉพาะแล้ว จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ว่าด้วยดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดมาเรียกร้องเอากับลูกหนี้ซ้ำอีกหาได้ไม่ สรุปแล้วศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระภาษีอากรให้โจทก์เป็นเงิน39,182.29 บาท กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความสามศาลรวม 1,800 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share