คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 147-148/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาซื้อขายฯระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทินคือภายในวันที่ 3 กรกฎาคม 2528 เมื่อโจทก์ที่ 1 ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องภายในกำหนดเวลา จึงตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดเวลาตามสัญญา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 204 วรรคสอง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะเรียกให้โจทก์ที่ 2 ผู้ค้ำประกันโจทก์ที่ 1 ชำระหนี้ได้แต่นั้นตามมาตรา 686 อันเป็นวันที่จำเลยอาจบังคับสิทธิเรียกร้องเอาแก่โจทก์ที่ 2 ได้ อายุความจึงเริ่มนับแต่วันดังกล่าว มิใช่เริ่มนับตั้งแต่วันที่ทำสัญญาค้ำประกัน และสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30
โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยฟ้องขอบังคับให้โจทก์ที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาโดยส่งมอบชุมสายเทเล็กซ์พร้อมการติดตั้งในระบบสมบูรณ์ตามสัญญาซื้อขายฯ แล้ว โดยจำเลยมิได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์ที่ 1 ดังนี้ หากให้โจทก์ที่ 1 ชำระค่าเสียหายในราคาอุปกรณ์ชุมสายเทเล็กซ์ที่จำเลยซื้อมาใช้งาน ก็จะเป็นการให้ค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อนกับคำขอบังคับให้โจทก์ที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายดังกล่าว ศาลจึงกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ไม่ได้

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 เรียกจำเลยที่ 2 ในสำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 2 และเรียกโจทก์ในสำนวนหลังเป็นจำเลย คดีสำนวนแรกโจทก์ที่ 1 ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินที่ยังค้างอยู่ในงวดที่สองและงวดที่สามตามสัญญาเป็นเงิน 15,415,909.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 9,248,945.70 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 24,663,855.20 บาท และดอกเบี้ยจากต้นเงิน 15,414,909.50 บาท ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 ให้จำเลยคืนหนังสือค้ำประกันการจ่ายเงินค่างานล่วงหน้าของโจทก์ที่ 2 เลขที่ สว.ค.ส. 183/2526 ฉบับลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2526 จำนวนเงิน 30,145,115.80 บาท และใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 3,564,831.98 บาท และค่าเสียหายในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะคืนหนังสือค้ำประกันฉบับดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่ 1
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1
คดีสำนวนหลังจำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับโจทก์ที่ 1 ให้ปฏิบัติตามสัญญา โดยส่งมอบชุมสายเทเล็กซ์ ขนาด 5,000 เลขหมาย พร้อมการติดตั้งในระบบสมบูรณ์แก่จำเลย หากโจทก์ที่ 1 ไม่ปฏิบัติหรือไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญา ให้โจทก์ที่ 1 รื้อถอนอุปกรณ์ทั้งหมดที่ติดตั้งไว้ในอาคารของจำเลยออกไปและคืนเงินที่ได้รับไปแล้วจำนวน 88,529,506.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าโจทก์ที่ 1 จะชำระเสร็จ กับใช้ค่าเสียหายจำนวน 6,740,975,355.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้โจทก์ที่ 1 ใช้ค่าปรับตามสัญญาจำนวน 825,983,754 บาท และค่าปรับวันละ 226,483.07 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันที่โจทก์ที่ 1 ส่งมอบชุมสายเทเล็กซ์ขนาด 5,000 เลขหมาย พร้อมติดตั้งในระบบสมบูรณ์ในสภาพที่สามารถใช้งานได้แก่จำเลยตามสัญญา หรือจนถึงวันที่โจทก์ที่ 1 จะชำระเสร็จ และชำระเงินค้ำประกันสัญญาจำนวน 14,833,710 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าโจทก์ที่ 1 จะชำระเสร็จ กับให้โจทก์ที่ 2 ชำระเงินจำนวน 15,162,896.44 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน 14,833,710 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์ที่ 2 จะชำระเสร็จ
โจทก์ทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของโจทก์ที่ 1 ให้โจทก์ที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญา โดยส่งมอบชุมสายเทเล็กซ์ ขนาด 5,000 เลขหมาย พร้อมการติดตั้งในระบบสมบูรณ์แก่จำเลย หากโจทก์ที่ 1 ไม่ปฏิบัติหรือไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญา ให้โจทก์ที่ 1 รื้อถอนอุปกรณ์ทั้งหมดที่ติดตั้งไว้ในอาคารของจำเลยออกไป และคืนเงินที่ได้รับไปแล้วจำนวน 88,529,506.70 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าโจทก์ที่ 1 จะชำระเสร็จ ให้โจทก์ที่ 1 ชำระค่าปรับจำนวน 18,000, 000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้โจทก์ที่ 2 ร่วมชำระหนี้ของโจทก์ที่ 1 จำนวน 14,833,710 บาท ในฐานะผู้ค้ำประกันพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 17 มีนาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้โจทก์ที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสองสำนวน ส่วนโจทก์ที่ 2 ให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในสำนวนที่สองร่วมกับโจทก์ที่ 1 แทนจำเลย โดยให้โจทก์ที่ 1 รับผิดค่าทนายความสำนวนแรกจำนวน 50,000 บาท และให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความในสำนวนหลังจำนวน 50,000 บาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 15,414,909.50 บาท ตามสัญญางวดที่สองและงวดที่สามกับดอกเบี้ยจำนวน 9,248,945.70 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 15,415,909.50 บาท นับแต่วันฟ้องสำนวนแรกเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 ให้โจทก์ที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาโดยส่งมอบชุมสายเทเล็กซ์ ขนาด 5,000 เลขหมาย พร้อมการติดตั้งในระบบที่เรียบร้อยสมบูรณ์แก่จำเลยและรับเงินส่วนที่เหลือตามสัญญา หากโจทก์ที่ 1 ไม่ปฏิบัติหรือไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ ให้โจทก์ที่ 1 คืนเงินค่าอุปกรณ์ชุมสายเทเล็กซ์ จำนวน 88,529,506.70 บาท รวมทั้งเงินตามสัญญางวดที่สองและงวดที่สามหากรับไปแล้วให้แก่จำเลย พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องหรือนับจากวันรับเงินไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย พร้อมกับให้โจทก์ที่ 1 รื้อถอนอุปกรณ์ชุมสายเทเล็กซ์ที่โจทก์ที่ 1 ติดตั้งไว้ในอาคารของจำเลยออกไปทั้งหมด กับให้โจทก์ที่ 1 ชำระค่าเสียหายจำนวน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องสำนวนหลังจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย และให้โจทก์ที่ 1 ชำระค่าปรับจำนวน 18,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2538 จนกว่าจะชำระแก่จำเลย ให้โจทก์ที่ 2 ร่วมกับโจทก์ที่ 1 ชำระเงินจำนวน 14,833,710 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 17 มีนาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ของโจทก์ที่ 1 และจำเลยให้ยก ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลในสำนวนแรกแทนโจทก์ที่ 1 กำหนดค่าทนายความรวม 80,000 บาท ให้โจทก์ที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยในสำนวนหลังตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ กำหนดค่าทนายความให้ 50,000 บาท ส่วนโจทก์ที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ทั้งสองว่า โจทก์ที่ 1 หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา เห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายชุมสายโทรศัพท์เทเล็กซ์ขนาด 5,000 เลขหมาย โจทก์ที่ 1 ผู้ขายมีหน้าที่ที่จะต้องส่งมอบชุมสายโทรศัพท์เทเล็กซ์ขนาด 5,000 เลขหมาย พร้อมอะไหล่ อุปกรณ์ และการติดตั้งในระบบที่สมบูรณ์ให้แก่จำเลยผู้ซื้อ ณ ที่ทำการของจำเลย โดยโจทก์ที่ 1 ส่งมอบอุปกรณ์ชุมสายซอฟแวร์ มีเจ้าหน้าที่ของจำเลยลงลายมือชื่อรับไว้ โดยไม่ปรากฏว่า โจทก์ที่ 1 ได้ทำหนังสือแจ้งวันที่จะส่งของที่แน่นอนให้จำเลยทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน ที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยรับอุปกรณ์ชุมสายซอฟแวร์ไว้จากโจทก์ที่ 1 นั้น เป็นเพียงรับสิ่งที่โจทก์ที่ 1 นำมาส่งให้เท่านั้น การส่งอุปกรณ์ชุมสายซอฟแวร์ดังกล่าวของโจทก์ที่ 1 เป็นการส่งมอบสิ่งของที่ยังไม่มีการติดตั้งในระบบสมบูรณ์ในสภาพที่สามารถใช้งานได้ทันทีและได้ผลสมความมุ่งหมายเรียบร้อยทุกประการ และโจทก์ที่ 1 ไม่ได้นำสำเนาม้วนเทปซอฟแวร์ใส่เข้าไปในเครื่องฮาร์ดแวร์เพื่อให้ชุมสายเทเล็กซ์ตามสัญญาซื้อขาย ฯ อยู่ในระบบสมบูรณ์ ในสภาพที่สามารถใช้งานได้ทันทีและได้ผลสมความมุ่งหมายเรียบร้อยทุกประการ โจทก์ที่ 1 เพิ่งนำม้วนเทปซอฟแวร์ที่อ้างว่าอัดสำเนามาจากต้นฉบับม้วนเทปซอฟแวร์ที่ส่งมอบให้แก่จำเลยมาใส่เครื่องฮาร์ดแวร์เพื่อตรวจนับรายการซอฟแวร์มาภายหลัง โดยไม่ยอมดำเนินการเพื่อให้มีการพิสูจน์ให้เห็นว่าม้วนเทปที่โจทก์ที่ 1 ส่งมอบไว้แก่จำเลยนั้น ได้บรรจุข้อมูลรายการซอฟแวร์ที่สามารถสั่งการให้ระบบชุมสายเทเล็กซ์ทั้งหมดทำงานได้ตามสัญญาซื้อขาย ฯ โจทก์ที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองต่อไปมีว่า จำเลยมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ที่ 2 ร่วมรับผิดกับโจทก์ที่ 1 ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ. 3 ได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ที่ 2 ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันดังกล่าวยอมผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันโจทก์ที่ 1 ต่อจำเลยเป็นเงินไม่เกิน 14,833,710 บา หากโจทก์ที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาที่ทำไว้กับจำเลยหรือปฏิบัติผิดเงื่อนไขข้อหนึ่งข้อใดของสัญญาดังกล่าว ซึ่งจำเลยมีสิทธิริบหลักประกันหรือเรียกค่าปรับและหรือค่าเสียหายใด ๆ จากโจทก์ที่ 1 ได้แล้ว โจทก์ที่ 2 ยอมชำระเงินแทนให้ทันทีโดยมิต้องเรียกร้องให้โจทก์ที่ 1 ชำระก่อน ดังนั้นเมื่อโจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขาย ฯ แล้ว จำเลยย่อมมีสิทธิเรียกค่าปรับและค่าเสียหายตามสัญญาซื้อขาย ฯ ข้อ 9 และข้อ 10 ตามลำดับจากโจทก์ที่ 1 การที่จำเลยจะมีสิทธิฟ้องโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้ได้หรือไม่ ต้องพิจารณาเพียงว่าโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ผิดนัดแล้วหรือไม่ เมื่อโจทก์ที่ 1 ลูกหนี้ผิดนัดแล้ว จำเลยย่อมมีอำนาจฟ้องโจทก์ที่ 2 ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 แม้จำเลยไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขาย ฯ ต่อโจทก์ที่ 1 ก็ตาม ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองต่อไปมีว่า สิทธิเรียกร้องที่จำเลยมีต่อโจทก์ที่ 2 ตามสัญญาค้ำประกันขาดอายุความแล้วหรือไม่ เห็นว่า สัญญาซื้อขาย ฯ ระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทินคือภายในวันที่ 3 กรกฎาคม 2528 เมื่อโจทก์ที่ 1 ผิดสัญญาซื้อขาย ฯ ไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องภายในกำหนดเวลาตามสัญญาซื้อขาย ฯ จึงตกเป็นผิดนัดตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดเวลาตามสัญญาดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 204 วรรคสอง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะเรียกให้โจทก์ที่ 2 ผู้ค้ำประกันโจทก์ที่ 1 ต่อจำเลยชำระหนี้ได้แต่นั้นตามมาตรา 686 อันเป็นวันที่จำเลยอาจบังคับสิทธิเรียกร้องเอาแก่โจทก์ที่ 2 ได้ อายุความจึงเริ่มนับแต่วันนั้นมิใช่เริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์ที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันต่อจำเลยในวันที่ 19 กรกฎาคม 2526 สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 193/30 เมื่อนับถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2538 ที่จำเลยฟ้องในสำนวนหลังยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี คดีของจำเลยจึงไม่ขาดอายุความ
ปัญหาสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยมีว่า โจทก์ที่ 1 ต้องใช้ค่าเสียหายในราคาอุปกรณ์ชุมสายเทเล็กซ์ที่จำเลยซื้อมาใช้งานแทน 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 238,604,804.07 บาท หรือไม่ เห็นว่า จำเลยไม่ได้บอกเลิกสัญญาซื้อขาย ฯ ต่อโจทก์ที่ 1 ทั้งจำเลยฟ้องขอให้บังคับโจทก์ที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาโดยส่งมอบชุมสายเทเล็กซ์ขนาด 5,000 เลขหมาย พร้อมการติดตั้งในระบบสมบูรณ์ตามสัญญาซื้อขาย ฯ แล้ว หากให้โจทก์ชำระค่าเสียหายในราคาอุปกรณ์ชุมสายเทเล็กซ์ที่จำเลยซื้อมาใช้งาน ก็จะเป็นการให้ค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อนกับคำขอบังคับให้โจทก์ที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขาย ฯ ดังกล่าว จึงกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ไม่ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องของโจทก์ที่ 1 ให้โจทก์ที่ 1 ส่งมอบชุมสายเทเล็กซ์ขนาด 5,000 เลขหมาย พร้อมการติดตั้งในระบบสมบูรณ์ตามสัญญาให้แก่จำเลย หากโจทก์ที่ 1 ไม่ปฏิบัติหรือไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญา ก็ให้โจทก์ที่ 1 รื้อถอนอุปกรณ์ทั้งหมดที่ติดตั้งไว้ในอาคารของจำเลยออกไปและคืนเงินที่ได้รับไปแล้วจำนวน 88,529,506.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องสำนวนหลัง (วันฟ้องคือวันที่ 30 มิถุนายน 2538) จนกว่าโจทก์ที่ 1 จะชำระเสร็จแก่จำเลย และให้โจทก์ที่ 1 ชำระค่าปรับและค่าเสียหายรวม 28,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องสำนวนหลังจนกว่าโจทก์ที่ 1 จะชำระเสร็จแก่จำเลย ให้โจทก์ที่ 2 ร่วมกับโจทก์ที่ 1 ชำระค่าปรับและค่าเสียหายในเงินจำนวน 14,833,710 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 มีนาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้โจทก์ที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมสำนวนแรกทั้งสามศาลแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความรวม 130,000 บาท สำนวนหลังให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท สำหรับในชั้นศาลอุทธรณ์ ให้โจทก์ที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยให้เป็นพับ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share