แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยทำสัญญากันว่า จำเลยรับจัดหาสัตว์ส่งมาให้โจทก์รับจ้างฆ่าที่โรงงานฆ่าสัตว์ของโจทก์ โดยโจทก์จำเลยรับรองกันในสัญญาว่า ถ้ารายได้ของโจทก์จากการรับจ้างฆ่าสัตว์ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายของโจทก์เกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ ยังคงขาดเป็นเงินเท่าใดจำเลยที่ 1 รับชดใช้ให้ทุกเดือนไปจนกว่าโจทก์จะได้รับเงินค่ารับจ้างฆ่าสัตว์คุ้มกับค่าใช้จ่ายดังกล่าวข้อสัญญาดังกล่าวนี้มิใช่กำหนดเบี้ยปรับไว้ล่วงหน้า แต่เป็นสัญญาต่างตอบแทนที่จำเลยตกลงให้ประโยชน์แก่โจทก์โดยมีเงื่อนไขเนื่องจากการที่จำเลยที่ 1 เข้าทำสัญญากับโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดในค่าใช้จ่ายของโจทก์ส่วนที่ยังขาดอยู่เต็มจำนวน
ย่อยาว
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ตกลงทำสัญญากับโจทก์ว่าจำเลยที่ ๑ รับเป็นผู้จัดหาสัตว์คือสุกร โคและกระบือส่งมาให้โจทก์รับจ้างฆ่าที่โรงงานฆ่าสัตว์ของโจทก์ เพื่อจำเลยที่ ๑ จะได้นำเนื้อสัตว์ที่ฆ่าแล้วไปจำหน่ายต่อมาโจทก์และจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ตกลงทำสัญญากันใหม่ ใช้บังคับต่อกันแทนสัญญาฉบับเดิมตามสัญญาฉบับหลังจำเลยที่ ๑ จะต้องจัดส่งสัตว์มาให้โจทก์รับจ้างฆ่ามีจำนวนไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในสัญญา แล้วจำเลยที่ ๑ ส่งสัตว์ให้โจทก์รับจ้างฆ่าขาดจำนวนต้องเสียค่าปรับให้โจทก์คิดเป็นเงิน ๒,๓๒๒,๑๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ตกลงด้วยว่าค่าใช้จ่ายของโจทก์เกี่ยวกับการฆ่าสัตว์เป็นเงินเดือนละ ๑,๒๘๐,๐๐๐ บาท ถ้ารายได้จากการรับจ้างฆ่าสัตว์ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายดังกล่าวแล้ว ยังขาดเป็นเงินเท่าใดจำเลยที่ ๑ รับชดใช้ให้แก่โจทก์ทุกเดือน จำเลยที่ ๑ ส่งสัตว์ให้โจทก์รับจ้างฆ่าไม่ครบจำนวนทำให้โจทก์มีรายได้จากการรับจ้างฆ่าสัตว์ไม่คุ้มค่าใช้จ่ายโดยขาดไปคิดเป็นเงิน ๗๗๔,๔๗๘ บาท ๖๐ สตางค์ รวมเงินที่จำเลยทั้งสองจะต้องชำระแก่โจทก์เป็นเงิน ๓,๐๙๖,๔๗๘ บาท ๖๐ สตางค์ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่านายสมศักดิ์ เภกะสุต และนายพันธ์ ไชยนันท์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้แทนหรือในนามของโจทก์ บริษัทโจทก์ได้เป็นผู้ผูกขาดการฆ่าและจำหน่ายเนื้อสุกร โคและกระบือในเขตจังหวัดพระนครและธนบุรีมานาน ปี พ.ศ.๒๕๑๑ บริษัทโจทก์ต้องขาดทุนมาก จึงขอร้องให้จำเลยที่ ๑ จัดหาสุกร โคและกระบือเข้าฆ่าในโรงงานฆ่าสัตว์ของโจทก์ และได้ให้คำมั่นสัญญาและรับรองกับจำเลยที่ ๑ ว่า การจัดหาสุกร โคและกระบือเข้าฆ่าที่โรงงานฆ่าสัตว์ของโจทก์ตลอดจนวิธีการในการจัดจำหน่ายเนื้อชำแหละนั้น โจทก์จะได้จัดให้เป็นสิทธิของจำเลยที่ ๑ แต่ฝ่ายเดียว จำเลยที่ ๑ หลงเชื่อจึงได้ทำสัญญากับโจทก์ต่อมาโจทก์ขอเพิ่มเติมสัญญา และได้แก้ไขสัญญาใหม่ในข้อต่อไปให้เป็นว่า ในวันใดจำเลยที่ ๑ จัดส่งสัตว์มาให้โจทก์ฆ่าได้ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ก็ให้หักจำนวนสัตว์ที่ผู้อื่นส่งมาฆ่าคิดชดเชยให้แก่จำเลยที่ ๑ ได้ ข้อตกลงได้ทำเป็นหนังสือผนวกเข้ากับสัญญาฉบับแรก เริ่มปฏิบัติตั้งแต่ ๑๒ กันยายน ๒๕๑๒ ต่อมาโจทก์ไม่อำนวยความสะดวกให้แก่จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จึงได้ประท้วงโจทก์รับรองว่าจะจัดการให้จำเลยที่ ๑ ใหม่ แต่ก็ไม่ได้รับความสะดวกจนจำเลยที่ ๑ เสียหาย ทั้งโจทก์ให้คนอื่นได้โควต้ากระบือและโคซึ่งเป็นข้อสาระสำคัญที่โจทก์ปกปิดไม่ให้จำเลยที่ ๑ ทราบ ซึ่งถ้าโจทก์เปิดเผยสัญญาทั้งหมดย่อมไม่เกิดขึ้น จำเลยที่ ๑ จึงคัดค้านโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงได้ทำบันทึกปรับความเข้าใจกันหลายประการโดยโจทก์จะแจ้งยอดสัตว์ที่บุคคลอื่นนำเข้าฆ่าให้จำเลยที่ ๑ ทราบด้วย ให้เริ่มปฏิบัติตามสัญญากันใหม่ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๑๒ โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายค่าปรับย้อนขึ้นไปถึงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๑๒ ไม่ได้ต่อจากนั้นเหตุการณ์ก็เป็นไปตามเดิม โจทก์ไม่สามารถจัดการให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามสัญญาได้ จำเลยที่ ๑ จึงได้มีหนังสือบอกล้างนิติกรรมและบอกเลิกสัญญากับโจทก์แล้ว สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นนิติกรรมมีเงื่อนไขซึ่งจะปฏิบัติกันได้หรือไม่สุดแล้วแต่โจทก์ฝ่ายเดียวจึงเป็นโมฆะ และโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายหากมีการขาดจำนวนก็มิได้ขาดถึงจำนวนตามฟ้อง ถ้านิติกรรมมีผลบังคับกันได้จำนวนค่าใช้จ่ายก็ไม่ขาดถึงจำนวนตามฟ้อง เมื่อโจทก์เรียกค่าปรับตามสัญญาแล้วความเสียหายของโจทก์ในข้ออื่นก็หมดไป โจทก์เป็นฝ่ายฉ้อฉลจำเลยที่ ๑ และมิได้ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยที่ ๑ ต้องจัดซื้อสัตว์ไว้เพื่อปฏิบัติตามสัญญา ต้องเสียค่าใช้จ่ายและดอกเบี้ยเป็นเงิน ๘,๙๔๖,๐๙๒ บาท ๕๓ สตางค์ จำเลยที่ ๑ ขายสัตว์ไปได้เพียง ๖,๐๒๓,๙๔๑ บาท ๒๑ สตางค์ ต้องขาดทุนไป ๒,๙๒๒,๑๕๑ บาท ๓๒ สตางค์ และต้องขาดผลกำไรที่ควรได้อีก ๒,๙๑๕,๗๕๐ บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ ๑ ต้องเสียหายไปเพราะโจทก์ผิดสัญญาเป็นเงิน ๕,๘๓๗,๙๐๑ บาท ๓๒ สตางค์ ขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้ง ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้โจทก์ใช้เงินค่าเสียหายจำนวน ๕,๘๓๗,๙๐๑ บาท ๓๒ สตางค์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งและเพิ่มเติมคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่าฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุม จำเลยใช้สิทธิฟ้องแย้งโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาหากจำเลยได้รับความเสียหายจริง ความเสียหายก็เกิดขึ้นเพราะความผิดของจำเลยเอง โจทก์ไม่ต้องรับผิด
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับจ้างฆ่าสัตว์โดยเฉพาะโค กระบือจะมีมัน หนัง หัว เนื้อห้อยลิ้น เอ็น เรียกว่าผลพลอยได้ซึ่งเป็นประเพณีการค้าที่โรงงานฆ่าสัตว์จะรับซื้อไว้ โจทก์ได้จัดส่งโคและกระบือไปจ้างจำเลยฆ่าและชำแหละมีผลพลอยได้ต่าง ๆ รวมราคา ๔๕๕,๓๕๗ บาท ๓๐ สตางค์ โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงิน จำเลยก็ไม่ชำระขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่าจำนวนเงิน น้ำหนักและราคาผลพลอยได้ที่จำเลยรับซื้อจากโจทก์ไม่ถูกต้อง และโจทก์ค้างไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ได้หักเงินกับค่าจ้างฆ่าสัตว์ค่าเช่าคอกพักสุกร ค่าเช่าสถานที่ และบอกโจทก์แล้วว่าจะจ่ายค่าผลพลอยได้ต่อเมื่อโจทก์ชำระค่าปรับและค่าใช้จ่ายเรียบร้อย โจทก์ไม่เคยทวงถามและขอรับเงินจำนวนนี้เมื่อทวงถามยอดเงินก็ไม่ถูกต้อง จำเลยจึงไม่ผิดนัดไม่ต้องเสียดอกเบี้ยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นได้รวมพิจารณาพิพากษาคดีเรียกบริษัทสหสามัคคีค้าสัตว์ว่าโจทก์และเรียกห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญธัญญวัฒน์ว่าจำเลยที่ ๑ นายสุรินทร์ ดุลยธรรมภักดี ว่าจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เกี่ยวกับค่าเสียหายของโจทก์นั้นเห็นว่า การที่จำเลยไม่สามารถจะปฏิบัติตามสัญญาได้นั้นมิใช่เป็นความผิดของจำเลยแต่เพียงฝ่ายเดียวโจทก์ได้มีส่วนก่อให้ เกิดความเสียหายแก่จำเลยด้วย เห็นสมควรลดค่าปรับที่จำเลยส่งสุกรเข้าฆ่าขาดไปตัวละ ๒๕ บาท สุกรขาดจำนวนไป ๒๓,๒๒๑ ตัว เป็นเงินค่าปรับ ๕๘๒,๕๒๕ บาท ส่วนค่าเสียหายเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของโจทก์ซึ่งขาดรายได้ไป ๓ เดือนคิดเป็นเงินค่าใช้จ่ายซึ่งขาดจำนวนไปเป็นเงิน ๑,๒๘๐,๐๐๐ บาท เห็นว่าเมื่อจำเลยได้ทำสัญญากับโจทก์แล้วจำเลยไม่สามารถจะส่งสัตว์เข้าฆ่าได้ครบจำนวนและไม่ได้รับความสะดวก จากโจทก์ตามสมควร ได้มีการประท้วงและคัดค้านการกระทำของเจ้าหน้าที่โจทก์ที่กีดกันจำเลยจนต้องมีบันทึกปรับความเข้าใจกันหลายครั้ง การที่จะปรับจำเลยตามสัญญาย่อมไม่เป็นธรรมแก่จำเลยอย่างยิ่ง จึงน่าจะถือว่าทั้งโจทก์และจำเลยได้มาร่วมกันรับบาปกับเคราะห์ ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องขาดทุนค่าใช้จ่ายของโรงงานฆ่าสัตว์โจทก์นั้น โจทก์จำเลยควรจะรับผิดกันคนละครึ่งซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดเป็นจำนวนเงิน ๖๔๐,๐๐๐ บาท รวมสองรายการเป็นเงิน ๑,๒๒๒,๕๒๕ บาท โจทก์ยังมิได้ชำระค่าผลพลอยได้จากการชำแหละซากสัตว์ให้แก่จำเลย ๔๕๐,๐๐๐ บาท เมื่อหักหนี้กันแล้วจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียง ๗๗๒,๕๒๕ บาท จึงพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน ๗๗๒,๕๒๕ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สำหรับค่าเสียหายของโจทก์นั้นได้มีการกำหนดเบี้ยปรับไว้ ๒ กรณีคือ เบี้ยปรับเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของบริษัทโจทก์และเบี้ยปรับตามจำนวนสุกรที่ส่งฆ่าไม่ครบ เฉพาะค่าใช้จ่ายของบริษัทโจทก์บริษัทโจทก์ควรได้รับชดใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวนที่ขาดไปเป็นเงิน ๗๗๔,๔๗๘ บาท ๖๐ สตางค์ ส่วนเบี้ยปรับตามจำนวนที่ส่งฆ่าไม่ครบนั้นเมื่อบริษัทโจทก์ได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนแล้ว บริษัทโจทก์ก็ไม่ควรได้รับความเสียหายใด ๆ อีกจากการส่งสุกรฆ่าไม่ครบจำนวนบริษัทโจทก์ก็ไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายในข้อนี้ ส่วนความเสียหายของจำเลยตามฟ้องแย้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการกระทำของโจทก์ แต่เกิดจากที่จำเลยไม่สามารถส่งสัตว์ฆ่าให้ครบได้เอง จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์บริษัทโจทก์เป็นหนี้จำเลยค่าผลพลอยได้จากการชำแหละซากสัตว์เป็น เงิน ๔๕๐,๐๐๐ บาท เมื่อหักออกจากจำนวนเงิน ๗๗๔,๔๗๘ บาท ๖๐ สตางค์ ที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์แล้วคงเหลือเงินที่จำเลยต้องชำระให้บริษัทโจทก์ ๓๒๕,๔๗๘ บาท ๖๐ สตางค์ พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยร่วมกันใช้เงิน ๓๒๔,๔๗๘ บาท ๖๐ สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องคือวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษาให้จำเลยเสียค่าปรับสำหรับสุกรที่ส่งให้โจทก์ฆ่าไม่ครบจำนวนตัวละ ๒๕ บาทตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งหมดและพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายให้จำเลยตามฟ้องแย้ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นข้อ ๔ โจทก์จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้เพียงใดโจทก์ฎีกาว่า การที่โจทก์ได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายของบริษัทโจทก์ที่ขาดจำนวนไปจนครบนั้น เป็นเพียงการปฏิบัติตามสัญญาส่วนหนึ่งเพื่อมิให้โจทก์ต้องขาดทุนในการทำสัญญากับจำเลยเท่านั้นโจทก์ประกอบการค้าย่อมหวังผลกำไรจากการรับจ้างฆ่าสัตว์ การที่จำเลยส่งสัตว์ให้โจทก์ฆ่าไม่ครบจำนวนโจทก์ย่อมได้รับความเสียหายเพราะมิได้รับจ้างฆ่าซึ่งเป็นค่าเสียหายอีก ส่วนหนึ่ง ส่วนจำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ควรได้รับค่าเสียหายเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของบริษัทโจทก์ที่ขาดจำนวนไป เพราะโจทก์ขาดทุนอยู่แล้วก่อนจำเลยที่ ๑ เข้ามาทำสัญญากับโจทก์ บริษัทโจทก์ถือหุ้น ๙๙.๙๒ เปอร์เซ็นต์เป็นบริษัทมหาชนหรือเป็นเทศกิจ ซึ่งตั้งขึ้นโดยมิได้หวังค้ากำไรพิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามสัญญากำหนดค่าเสียหายที่โจทก์จะได้รับไว้ ๒ ประการ คือประการแรกโจทก์และจำเลยที่ ๑ รับรองกันไว้ในสัญญาว่าค่าใช้จ่ายของโจทก์เกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ตกประมาณเดือนละ ๑,๒๘๐,๐๐๐ บาท ถ้ารายได้จากการรับจ้างฆ่าสัตว์ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายดังกล่าว ยังคงขาดเป็นเงินเท่าใดจำเลยที่ ๑ รับชดใช้ให้ทุกเดือนไปจนกว่าโจทก์จะได้รับเงินค่าจ้างฆ่าสัตว์คุ้มกับค่าใช้จ่ายดังกล่าว เห็นว่าข้อสัญญาดังกล่าวนี้มิใช่กำหนดเบี้ยปรับไว้ล่วงหน้าแต่เป็นสัญญาต่างตอบแทนที่จำเลยที่ ๑ ตกลงให้ประโยชน์แก่โจทก์โดยมีเงื่อนไขเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ เข้าทำสัญญากับโจทก์เพราะมิใช่เงินค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่จำเลยที่ ๑ ทำผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด แม้จำเลยจะไม่ได้ทำผิดสัญญาเช่น ส่งสุกร โค กระบือเข้าฆ่าครบจำนวนทุกเดือน แต่รายได้จากการรับจ้างฆ่าสัตว์แต่ละเดือนไม่ถึง ๑,๒๘๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ก็ยังต้องรับผิดค่าใช้จ่ายส่วนที่ขาดอยู่ จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดในค่าเสียหายส่วนนี้เต็มจำนวนเมื่อโจทก์นำสืบว่ารายได้จากการรับจ้างฆ่าสัตว์ของโจทก์ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๑๒ ถึงวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๑๓ แต่ละเดือนต่ำกว่าค่าใช้จ่าย รวม ๓ เดือนคิดเป็นเงิน ๗๗๔,๔๗๘ บาท ๖๐ สตางค์ จำเลยมิได้นำสืบหักล้างจึงต้องรับผิดเต็มจำนวนดังกล่าว แต่อย่างไรก็ดีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยรับผิด ๖๔๐,๐๐๐ บาท โจทก์มิได้อุทธรณ์จึงถือว่ายุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยรับผิด ๗๗๔,๔๗๘ บาท ๖๐ สตางค์ จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงกำหนดให้จำเลยรับผิดสำหรับค่าเสียหายส่วนนี้ ๖๔๐,๐๐๐ บาทตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนค่าเสียหายอีกประการหนึ่งกำหนดให้จำเลยที่ ๑ รับผิดเสียค่าปรับสำหรับสุกรที่ส่งเข้าฆ่าขาดตัวละ ๑๐๐ บาท ค่าเสียหายส่วนนี้เป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา จึงเป็นเบี้ยปรับที่กำหนดค่าเสียหายกันไว้ล่วงหนัาเมื่อมีการผิดสัญญาโจทก์ก็ย่อมจะต้องได้รับความเสียหายคือขาดกำไรที่ควรจะได้รับในการรับจ้างฆ่าสุกรจากจำเลยที่ ๑ แต่ถ้ากำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๓ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์ได้ค่าจ้างจากการรับจ้างฆ่าสุกรจากจำเลยที่ ๑ ตัวละ ๓๙ บาท ค่าใช้จ่ายของบริษัทโจทก์ที่ขาดไปรวม ๓ เดือน โจทก์ก็ได้รับทดแทนจากจำเลยแล้วค่าปรับจำเลยที่ ๑ ส่งสุกรขาดตัวละ ๑๐๐ บาทจึงเป็นกำไรสุทธิ ที่กำหนดให้จำเลยที่ ๑ รับผิดตัวละ ๑๐๐ บาทจึงสูงเกินส่วนศาลฎีกาเห็นควรลดให้เหลือเพียงตัวละ ๑๕ บาท จำเลยที่ ๑ ส่งสุกรขาดรวม ๒๓,๒๒๑ ตัวเป็นเงิน ๓๔๘,๓๑๕ บาท เมื่อรวมกับค่าเสียหายประการแรกอีก ๖๔๐,๐๐๐ บาท จึงเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๙๘๘,๓๑๕ บาท
ส่วนที่จำเลยที่ ๑ ฟ้องขอให้โจทก์ชำระค่าผลิตผลพลอยได้จากการชำแหละซากสัตว์นั้น โจทก์ขอหักหนี้ค่าผลพลอยได้จากการชำแหละซากสัตว์กับค่าเสียหายที่จำเลยที่ ๑ จะต้องชำระให้โจทก์นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลยที่ ๑ ค่าผลพลอยได้จากการชำแหละซากสัตว์เป็นเงิน ๔๕๐,๐๐๐ บาท ดังนั้นเมื่อเอาไปหักกับหนี้ที่จำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดตามจำนวนดังกล่าวข้างต้นจึงเหลือเงินที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระให้โจทก์รวม ๕๓๘,๓๑๕ บาท
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินรวม ๕๓๘,๓๑๕ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง คือวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์