แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นภรรยาชอบด้วยกฎหมายของ ส. ในระหว่างสมรสเมื่อพ.ศ. 2508 มารดาจำเลยยกที่ดินซึ่งเป็นส่วนของตนตามโฉนดเลขที่11878 ให้แก่จำเลยโดยไม่ระบุว่าให้เป็นสินส่วนตัว ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับ ส. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม มาตรา 1464 และมาตรา 1466 แม้ต่อมาบทบัญญัติบรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ มาตรา 1471และมาตรา 1474 จะบัญญัติแตกต่างจากบทบัญญัติบรรพ 5 เดิมก็ไม่ทำให้ที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสอยู่แต่เดิมเปลี่ยนเป็นสินส่วนตัวของจำเลย เพราะกฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่ได้บัญญัติให้เปลี่ยนแปลงไปดังกรณีสินเดิม ส. จึงมีอำนาจทำพินัยกรรมยกที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1481
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ ในระหว่างการสมรสของจำเลยกับนายสิน เรืองศรี มารดาจำเลยทำหนังสือยกที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนตามโฉนดเลขที่ ๑๑๘๗๘ ให้แก่จำเลยโดยไม่ระบุว่าให้เป็นสินเดิมหรือสินส่วนตัว ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสของจำเลยกับนายสิน ต่อมานายสิทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองแล้ว จึงขอให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทกับแบ่งที่ดินพิพาทตามโฉนดดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสอง หากไม่ยอมแบ่ง ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า มารดาจำเลยยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยโดยไม่ได้ระบุให้เป็นสินสมรส จึงตกเป็นสินส่วนตัวเองจำเลย ไม่ใช่มรดกของนายสินที่จะทำพินัยกรรมยกให้โจทก์ และจำเลยไม่ได้เก็บรักษาโฉนดไว้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๑๘๗๘ตำบลบางข่า อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ให้โจทก์ทั้งสองเพื่อไปดำเนินการใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยเท่ากับส่วนของนายสินผู้ตาย คือจำนวน ๒๗๒.๕ ตารางวาตามฟ้อง และให้จำเลยแบ่งส่วนที่เป็นของโจทก์ทั้งสองให้แก่โจทก์ทั้งสอง ถ้าแบ่งกันเองไม่ได้ให้ประมูลระหว่างกันเองหรือขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายสิน เรืองศรี โดยจดทะเบียนสมรสตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ระหว่างสมรสนางต่วน บุญยัง มารดาของจำเลยยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๑๘๗๘ ตามเอกสารหมาย จ.๒ ให้แก่จำเลยจำนวนเนื้อที่ ๕๔๕ ตารางวาเศษ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๐๘ โดยไม่ระบุว่ายกให้เป็นสินส่วนตัว ต่อมานายสินทำพินัยกรรมยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสอง มีปัญหาว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสหรือไม่ และนายสินทำพินัยกรรมยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า ขณะที่มารดาจำเลยยกที่ดินให้แก่จำเลยนั้นเป็นเวลาที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ เดิม ยังใชับังคับอยู่ โดยมีมาตรา ๑๔๖๔ บัญญัติไว้ว่า “สินส่วนตัว ได้แก่
(๑) ……….
(๒) ……….
(๓) ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างเป็นสามีภรรยาโดยทางพินัยกรรมหรือยกให้โดยเสน่หา เมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้นั้นแสดงไว้ให้เป็นสินส่วนตัว” และมาตรา ๑๔๖๖ บัญญัติว่า “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สินทั้งหมดที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส นอกจากที่ได้ระบุไว้ว่าเป็นสินเดิมหรือสินส่วนตัวตามมาตรา ๑๔๖๓ หรือ ๑๔๖๔”ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนายสินตามบทกฎหมาดังกล่าว แม้ต่อมาวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ มีบทบัญญัติ บรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ใช้บังคับและมีมาตรา ๑๔๗๑ บัญญัติไว้ว่า “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน
(๑) ……….
(๒) ……….
(๓) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา…” และมาตรา ๑๔๗๔ บัญญัติว่า “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน
(๑) ……….
(๒) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือ เมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรส
(๓) ……….”แม้บทบัญญัติบรรพ ๕ ใหม่จะแตกต่างจากบทบัญญัติบรรพ ๕ เดิมก็ตามก็ไม่ทำให้ที่พิพาทซึ่งเป็นสินสมรสอยู่แต่เดิมเปลี่ยนเป็นสินส่วนตัของจำเลย เพราะกฎหมายใหม่ไม่ได้บัญญัติให้เปลี่ยนแปลงไปดังกรณีสินเดิม นายสินจึงมีอำนาจทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ทั้งสองได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยมาตรา ๑๔๘๑ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.