คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2570/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่ผู้ตายพูดกับ พ. พยานโจทก์นั้น ผู้ตายมีอาการล้มลุกคลุกคลานขอให้รีบนำส่งโรงพยาบาล และขณะพูดกับโจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นมารดานั้น ผู้ตายมีใบหน้าสีดำคล้ำ หายใจโรย คว้ามือโจทก์ร่วมที่ 1 ไปบอกชื่อคนร้าย จากนั้นผู้ตายก็พูดไม่ได้และถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา แสดงว่าผู้ตายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายในขณะที่ตนเองรู้ตัวว่าใกล้จะตาย คำกล่าวเช่นนี้รับฟังเป็นพยานได้ว่าเป็นความจริง แม้โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองไม่มีประจักษ์พยานก็ฟัง ลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 91, 33 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางแฉล้ม แก้วสกุลณี มารดาของนางสาวราตรี วรรณสนธยา หรือวรรณสูนธยา ผู้ตาย ที่ 2 และนางชุบ เพ็ชรอิ่ม มารดานายสมโภชน์ เพ็ชรอิ่ม ผู้ตาย ที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (5) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ประหารชีวิตทั้งสองกระทง ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ริบเครื่องช็อตไฟฟ้า นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองรับฟังไม่ได้ว่าผู้ตายที่ 2 ได้พูดกับนางสาวเพ็ญศรีและโจทก์ร่วมที่ 1 หลังเกิดเหตุว่าจำเลยเป็นคนร้ายนั้น เห็นว่า นางสาวเพ็ญศรี เบิกความว่า เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2540 เวลาประมาณ 1 นาฬิกาเศษ ขณะที่พยานนอนอยู่ภายในห้อง มีนายสุเทพ อุทยานนารี พนักงานรักษาความปลอดภัยได้มาเรียกและแจ้งว่าผู้ตายที่ 2 ถูกทำร้าย พยานเปิดประตูก็เห็นผู้ตายที่ 2 เดินมาในลักษณะล้มลุกคลุกคลานและร้องให้ช่วยเหลือ จากนั้นได้พยุงผู้ตายที่ 2 เข้าบ้านและปิดประตู โดยสอบถามผู้ตายที่ 2 ว่าใครเป็นคนทำร้าย ผู้ตายที่ 2 แจ้งว่าแฟนเก่าชื่อนายหนิด (จำเลย) เป็นผู้ทำร้ายคำเบิกความของนางสาวเพ็ญศรีดังกล่าวมีนายสุเทพพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองอีกปากหนึ่งกับโจทก์ร่วมที่ 1 สนับสนุน โดยนายสุเทพเบิกความว่าระหว่างที่นำผู้ตายที่ 2 ขึ้นรถแท็กซี่นางสาวเพ็ญศรีหรือติ๋มบอกพยานว่าผู้ตายที่ 2 แจ้งว่านายหนิดสามีเก่าเป็นคนทำร้าย และได้ความจากโจทก์ร่วมที่ 1 ว่าระหว่างที่แพทย์นำผู้ตายที่ 2 เข้าห้องฉุกเฉิน นางสางเพ็ญศรีบอกโจทก์ร่วมที่ 1 ว่าผู้ตายที่ 2 บอกนางสาวเพ็ญศรีว่าจำเลยเป็นคนร้าย คำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ทั้งสองปากนี้จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ สำหรับคำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ 1 ที่ว่าผู้ตายที่ 2 บอกกับโจทก์ร่วมที่ 1 ว่าจำเลยเป็นคนร้ายนั้น โจทก์ร่วมที่ 1 เบิกความว่า หลังจากแพทย์นำผู้ตายที่ 2 ออกจากห้องฉุกเฉิน พยานเห็นใบหน้าของผู้ตายที่ 2 เป็นสีดำ หูข้างหนึ่งแหว่งผู้ตายมีลักษณะคล้ายคนมองไม่เห็น เอามือคว้าหามือของพยานพร้อมเรียกพยาน พยานจึงสอบถาม ขณะนั้นผู้ตายที่ 2 ยังมีสติได้ความว่าจำเลยเป็นคนใช้น้ำกรดสาดหน้าและใช้เหล็กตีที่บริเวณกกหู อาการของผู้ตายที่ 2 ขณะนั้นลมหายใจโรย คำเบิกความของพยานโจทก์ร่วมที่ 1 สมเหตุผล รับกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่าผู้ตายที่ 2 ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาโดยมีบาดแผลตามรายงานการตรวจศพ มีน้ำหนักน่าเชื่อตามพยานหลักฐานในสำนวน ไม่ปรากฏว่าขณะนั้นแพทย์ผู้ตรวจรักษาอยู่ด้วยหรือไม่ ใกล้ชิดขนาดไหน หากแพทย์อยู่ด้วยก็อาจไม่ได้ยินถ้อยคำของผู้ตายที่ 2 ที่พูดกับโจทก์ร่วมที่ 1 ก็ได้ การที่โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองไม่นำแพทย์มาเบิกความจึงไม่พิรุธ ขณะพูดกับนางสาวเพ็ญศรีนั้นผู้ตายที่ 2 เดินมาในอาการล้มลุกคลุกคลานทั้งยังขอให้รีบนำส่งโรงพยาบาล และขณะพูดกับโจทก์ร่วมที่ 1 นั้น ผู้ตายที่ 2 มีใบหน้าสีดำคล้ำ หายใจโรย คว้ามือโจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาไปบอกชื่อคนร้าย ต่อจากนั้น ผู้ตายที่ 2 ก็พูดไม่ได้และถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา แสดงว่าผู้ตายที่ 2 ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายในขณะที่ตนเองรู้ตัวว่าใกล้จะตาย คำกล่าวของผู้ตายที่ 2 เช่นนี้รับฟังเป็นพยานได้ว่าเป็นความจริง แม้โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองไม่มีประจักษ์พยานก็ฟังลงโทษจำเลยได้ พยานจำเลยซึ่งนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่นั้นไม่มีน้ำหนักและเหตุผลเพียงพอหักล้างได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน.

Share