คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 257/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยซื้อที่ดินพิพาทโดยหลงเชื่อตามที่โจทก์ฉ้อฉลว่าที่ดินพิพาทติดถนนไม่มีที่ดินแปลงอื่นคั่นอยู่ ซึ่งความจริงที่ดินพิพาทมิได้อยู่ติดถนน ถือว่าจำเลยแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่จะซื้อ ทำให้สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆียะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ขายที่ดินพิพาท 11 แปลง แก่จำเลยโดยจำเลยเข้าใจว่าที่ดินพิพาทติดถนน หลังจากจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันแล้ว จำเลยจึงทราบว่าที่ดินพิพาทไม่ติดถนน โจทก์เห็นว่าเป็นการสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ ที่ดินพิพาทยังคงเป็นของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยกับบริวารรื้อถอนและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท และให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 11 แปลงคืนโจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยแทน
จำเลยให้การว่า ได้ซื้อที่ดินพิพาททั้ง 11 แปลงจากโจทก์โดยโจทก์ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงให้จำเลยหลงเชื่อรับซื้อที่ดินพิพาทในราคาสูงกว่าที่เป็นจริงในขณะนั้น สัญญาซื้อขายที่จำเลยกระทำเพราะถูกโจทก์หลอกลวงนั้นไม่ถึงขั้นตกเป็นโมฆะคงเป็นเพียงโมฆียะเท่านั้นคู่สัญญาฝ่ายที่มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมได้แก่จำเลยฝ่ายเดียวกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้ง 11 แปลง โอนมาเป็นของจำเลยแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์คืนและไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยถึงแก่กรรม นายมาโนชภาคยวงศ์ ทายาทของจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เหตุที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนที่ดินพิพาท 11 แปลงแก่โจทก์โดยอ้างว่าเป็นการสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมการซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะสืบเนื่องมาจากจำเลยฟ้องโจทก์ฐานฉ้อโกงในการที่โจทก์หลอกลวงจำเลยว่าที่ดินพิพาทอยู่ติดถนนอ่อนนุชทำให้จำเลยเข้าทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์โดยสำคัญผิด คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาลงโทษโจทก์ เห็นว่าการที่จำเลยซื้อที่ดินพิพาทโดยหลงเชื่อตามที่โจทก์ฉ้อฉลว่าที่ดินพิพาทติดถนนอ่อนนุชไม่มีที่ดินแปลงอื่นคั่นอยู่ซึ่งความจริงที่ดินพิพาทมิได้อยู่ติดถนนอ่อนนุช ถือว่าจำเลยแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่จะซื้อ ทำให้สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆียะ ซึ่งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายมีสิทธิบอกล้างได้บอกล้างนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทต่อโจทก์อันจะเป็นผลให้นิติกรรมเป็นโมฆะแต่แรกซึ่งคู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม ที่โจทก์อ้างว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นโมฆะเพราะเป็นการสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม จึงไม่อาจรับฟังได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share