แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การเช่าช่วงอสังหาริมทรัพย์ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 คือจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญใบเสร็จรับเงินซึ่งมิได้มีลายมือชื่อของผู้ให้เช่าหรือผู้ให้เช่าช่วงไม่ใช่หลักฐานการเช่า
ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาและยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 จัตวา (3) จะต้องมีหลักฐานเบื้องต้นมาแสดงต่อศาลเมื่อตามคำร้อง ของ ผู้ร้องปรากฏว่าผู้ร้องเช่าช่วงตึกแถวพิพาทจากจำเลยโดยไม่มีสัญญาเช่ากับจำเลยหรือโจทก์ และมิได้มีหลักฐานการเช่ามาแสดง ทั้งมิใช่เป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าเพราะเงินกินเปล่าที่ผู้ร้องอ้างว่าได้เสียให้ไป มิใช่เงินช่วยค่าก่อสร้างตึกแถวพิพาท ผู้ร้องจึงไม่อาจยกการเช่าช่วงขึ้นใช้ยันโจทก์ได้ ไม่ว่าโจทก์จะรู้เห็นยินยอมด้วยหรือไม่ กรณีถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจพิเศษตามบทกฎหมายดังกล่าวผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลย ศาลจึงต้องยกคำร้องของผู้ร้อง และศาลสั่งคำร้องโดยไม่ไต่สวนคำร้องก่อน
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวของโจทก์ และส่งมอบตึกแถวคืนแก่โจทก์และเรียกค่าเสียหาย โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาล และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินพร้อมด้วยบริการออกไปจากตึกแถวตามฟ้อง จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีนำประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดไว้ที่ตึกแถวตามฟ้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษว่า ผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลยเพราะผู้ร้องเช่าช่วงตึกแถวพิพาทจากจำเลย แต่ไม่มีสัญญาเช่ากับจำเลยหรือโจทก์ ผู้ร้องได้เสียเงินกินเปล่าให้จำเลยและย้ายเข้ามาอยู่ในตึกแถวพิพาทโดยโจทก์รู้เห็นยินยอมและมอบให้นายแกงลิ้มเก็บค่าเช่าตึกแถวโดยออกใบเสร็จรับเงินให้ตลอดมา โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้ผู้ร้องออกจากตึกแถวพิพาท ขอให้ศาลไต่สวนและยกเลิกการบังคับคดีที่จะบังคับแก่ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องของผู้ร้องว่า ตามคำร้องบรรยายว่าผู้ร้องเช่าช่วงอาคารพิพาทจากจำเลย เสียเงินกินเปล่าให้จำเลยโดยมิได้มีสัญญาเช่ากับจำเลยหรือโจทก์ ที่ผู้ร้องอาศัยอยู่ในอาคารพิพาทจึงเป็นการอาศัยสิทธิของจำเลยจึงเป็นบริวารจำเลยผู้ร้องไม่มีสิทธิหรืออำนาจพิเศษในอาคารพิพาท ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา๒๙๖ จัตวา (๓) นั้น เมื่อเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแจ้งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าลูกหนี้หรือบริวารยังไม่ออกไปตามคำบังคับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศกำหนดเวลาให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลาแปดวัน นับแต่วันปิดประกาศ ถ้าไม่ยื่นภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ฉะนั้นผู้ที่อ้างอำนาจพิเศษดังกล่าวจะต้องมีหลักฐานเบื้องต้นมาแสดงต่อศาลมิใช่กล่าวอ้างขึ้นมาลอย ๆ การเช่าช่วงที่ผู้ร้องอ้างตามคำร้องก็คือการเช่านั่นเอง เมื่อเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ ซึ่งจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ แต่ตามคำร้องของผู้ร้องปรากฏชัดว่าผู้ร้องเช่าช่วงตึกแถวพิพาทจากจำเลยโดยไม่มีสัญญาเช่ากับจำเลยหรือโจทก์ ใบเสร็จรับเงินเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๔ ก็มิใช่หลักฐานการเช่า เพราะมิได้มีลายมือชื่อของโจทก์หรือจำเลยลงไว้ ดังนั้นผู้ร้องจึงไม่อาจยกการเช่าช่วงขึ้นใช้ยันโจทก์ได้ ทั้งนี้ไม่ว่าโจทก์จะรู้เห็นยินยอมด้วยหรือไม่ก็ตาม ทั้งมิใช่เป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าอันไม่จำต้องมีหลักฐานการเช่าดังที่ผู้ร้องฎีกา เพราะเงินกินเปล่าที่ผู้ร้องอ้างว่าได้เสียให้ไปนั้นมิใช่เงินช่วยค่าก่อสร้างตึกแถวพิพาทกรณีถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๖ จัตวา (๓) ผู้ร้องจึงเป็นบริวารของจำเลย
พิพากษายืน.