คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2567/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

++ เรื่อง ค้ำประกัน ++
++ ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 22 (3) ที่ว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใดๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ หมายถึง คดีที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ลูกหนี้มีสิทธิฟ้องร้องหรือถูกฟ้องร้องเท่านั้น หากลูกหนี้ไม่มีสิทธิฟ้องร้องหรือถูกฟ้องร้องย่อมไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะเข้าดำเนินการ จำเลยทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ฤ. ต่อโจทก์แม้ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ฤ. เด็ดขาดและโจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ฤ. ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องร้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน เพราะจำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันต่อห้างหุ้นส่วนจำกัด ฤ. แต่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันหนี้ต่อโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลย
++ แม้จำเลยจะทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์เมื่อนับถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่า 10 ปี แต่เมื่อขณะทำสัญญาค้ำประกันโจทก์ยังไม่อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้อายุความยังไม่เริ่มนับ โจทก์ฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัด ฤ. เป็นคดีล้มละลายเท่ากับเป็นการฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้อย่างหนึ่งตามวิธีการที่ พ.ร.บ. ล้มละลายฯ บัญญัติไว้โดยเฉพาะมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14(2) เป็นโทษแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฤ. และย่อมเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันด้วยตามมาตรา 692 และเมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันในภายหลัง ก็ยังไม่พ้นกำหนดอายุความ 10 ปี สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ +++

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์เป็นผู้เคยค้ากับโจทก์โดยขอสินเชื่อหลายประเภท เช่น ประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี ประเภทเงินกู้ ประเภทหนี้ทรัสต์รีซีท ประเภทเล็ตเตอร์ออฟเครดิตภายในประเทศประเภทหนี้รับรองหรืออาวัลตั๋วเงินและประเภทค้ำประกัน เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ดังกล่าว จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ เมื่อวันที่๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๒ ในวงเงินไม่เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และเมื่อวันที่๒๖ ตุลาคม ๒๕๒๒ ในวงเงินไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยค้ำประกันหนี้ทุกชนิดของห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ ซึ่งมีอยู่ต่อโจทก์ขณะทำสัญญาหรือที่จะมีต่อไปในภายหน้าโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยจะนำเงินมาชำระภายใน ๗ วัน นับแต่ได้รับแจ้งจากโจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตลอดจนค่าเสียหาย ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายอื่น ๆโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ แม้ห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ล้มละลาย หรือย้ายไปจากถิ่นที่อยู่หรือกรณีอื่นที่ทำให้โจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ จำเลยยอมรับผิดร่วมและหรือแทนลูกหนี้ทันทีที่โจทก์เรียกร้อง ต่อมาโจทก์อนุมัติให้สินเชื่อประเภทต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามที่สัญญาไว้ในหนี้ทุกประเภท โจทก์จึงฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์เป็นคดีล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์เด็ดขาดเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๓๒ โจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๒ ในหนี้ทุกประเภทที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์มีต่อโจทก์จนถึงวันพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดคือ หนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชี ๑,๕๐๕,๔๘๘.๘๙ บาท หนี้เงินกู้ ๒๖,๓๗๐,๘๓๘ บาท หนี้ทรัสต์รีซีท๓๑,๘๖๐,๗๙๖.๕๙ บาท หนี้เล็ตเตอร์ออฟเครดิตภายในประเทศ ๖,๓๙๒,๒๗๐บาท หนี้อาวัลตั๋วเงิน ๒๐,๗๔๒,๑๙๒.๙๙ บาท หนี้ค้ำประกัน ๑๙๑,๑๒๑.๐๓บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๘๗,๐๖๒,๗๐๗.๕๐ บาท โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันทั้งสองฉบับเป็นเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันครบกำหนดตามหนังสือทวงถามคือวันที่๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ ถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย ๕๐,๕๔๗.๙๔ บาทขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๓,๐๕๐,๕๔๗.๙๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์๒ ฉบับ เพื่อค้ำประกันหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ตามที่โจทก์ฟ้องแต่สัญญาค้ำประกันดังกล่าวไม่มีผลผูกพันจำเลย เนื่องจากโจทก์และห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ได้ทำสัญญาแปลงหนี้ใหม่เป็นหนี้ประเภทเงินกู้ตั้งแต่ปี ๒๕๒๘โดยจำเลยไม่ได้ค้ำประกันหนี้ดังกล่าว เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ผิดนัดชำระหนี้ โจทก์ทวงถามห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์และผู้ค้ำประกันคนอื่นให้ชำระหนี้ แต่ไม่เคยทวงถามจำเลยให้ชำระหนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์และผู้ค้ำประกันคนอื่นเป็นคดีล้มละลาย โจทก์ก็มิได้ฟ้องจำเลยในฐานะผู้ร่วมค้ำประกันด้วย และเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวมีอำนาจจัดกิจการฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ และสัญญาค้ำประกันทั้งสองฉบับที่โจทก์ฟ้องจำเลยทำไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๒๒เมื่อนับถึงวันฟ้องเป็นเวลาประมาณ ๑๗ ปี สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน๓,๐๕๐,๕๔๗.๙๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๓๙)จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๘,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ++++++++++
++ พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขฎีกาเกี่ยวกับวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น เห็นว่า เป็นการแก้ไขภายในกำหนดฎีกาและเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย อนุญาตให้จำเลยแก้ไขฎีกาได้ตามคำร้อง ++
ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจฟ้องเรียกหนี้สินจากจำเลยเพื่อนำไปแบ่งชำระให้แก่เจ้าหนี้ที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เห็นว่าพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๒๒ (๓) ที่บัญญัติว่าเมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ หมายถึงคดีที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ลูกหนี้มีสิทธิฟ้องร้องหรือถูกฟ้องร้องเท่านั้นหากลูกหนี้ไม่มีสิทธิฟ้องร้องหรือถูกฟ้องร้อง ย่อมไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะเข้าดำเนินการ คดีนี้จำเลยทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ไว้ต่อโจทก์ แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์เด็ดขาดและโจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ตาม เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องร้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน เพราะจำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันต่อห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ แต่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันหนี้ต่อโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลย
ที่จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า หนี้ที่จำเลยค้ำประกันมีการแปลงหนี้ใหม่เมื่อหนี้เดิมระงับไป จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดส่วนหนี้ใหม่ที่เกิดขึ้นตามสำเนาสัญญากู้เงินเอกสารหมาย ล.๑๐ ไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาค้ำประกันของจำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยร่วมทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ไว้ต่อโจทก์ รวม ๒ ฉบับ ตามสำเนาหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๓ ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์มีหนังสือถึงโจทก์ขอโอนวงเงินขายลดเช็คมาเป็นวงเงินกู้ ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาทโจทก์อนุมัติตามสำเนาหนังสือขอโอนวงเงินเอกสารหมาย ล.๙ หลังจากนั้นห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ทำหนังสือสัญญากู้เงิน ๑๕,๗๐๐,๐๐๐ บาท จากโจทก์โดยตกลงผ่อนชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยเดือนละ ๕๘๔,๐๐๐ บาท ตามสำเนาสัญญากู้เงินเอกสารหมาย ล.๑๐ การที่โจทก์ตกลงให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์โอนวงเงินขายลดเช็คมาเป็นวงเงินกู้ และต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ได้ทำสัญญากู้เงินจากโจทก์ แม้จะถือว่าเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้อันมีลักษณะเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๓๔๙ วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ก็ยังมีความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ เมื่อพิเคราะห์สำเนาหนังสือสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๓ ข้อ ๑ ที่ระบุว่าเป็นการค้ำประกันหนี้ที่โจทก์อนุมัติให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์กู้เงินเบิกเงินเกินบัญชี เปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิต ทำทรัสต์รีซีท ทำแพคกิ้งเครดิต ขอให้ออกหนังสือค้ำประกันค้ำประกันตั๋วสัญญาใช้เงินและหรือรายการอื่นใดอันก่อให้เกิดหนี้สินพันธะระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์กับโจทก์ทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือที่จะพึงเกิดขึ้นในภายหน้า และข้อ ๕ ที่ระบุว่า การค้ำประกันมีผลบังคับและผูกพันผู้ค้ำประกันตลอดไปตราบเท่าที่หนี้สินที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ยังคงมีอยู่ต่อโจทก์เนื่องจากมูลหนี้ดังกล่าวในข้อ ๑ ยังไม่ได้ชำระให้แก่โจทก์จนหมดสิ้นเรียบร้อยลงไป เห็นได้ว่า หนี้เงินกู้ที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์จะต้องรับผิดต่อโจทก์ ตามสำเนาสัญญากู้เงินเอกสารหมาย ล.๑๐ยังเป็นหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดตามสำเนาหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๓ อยู่นั่นเอง ส่วนที่โจทก์มีหนังสือทวงถามให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์และผู้ค้ำประกันรายอื่นชำระหนี้ก่อนมีการฟ้องขอให้ล้มละลายแต่มิได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้และมิได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายอาจเป็นเพราะโจทก์เห็นว่าจำเลยยังอยู่ในฐานะที่จะชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันให้แก่โจทก์ได้ จึงไม่ประสงค์จะฟ้องจำเลยให้ล้มละลายก็ได้ และการที่โจทก์ไม่มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าว ก็ไม่ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน เพราะการค้ำประกันจะระงับสิ้นไปต่อเมื่อมีกรณีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๙๘ ถึง ๗๐๑ เท่านั้น จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด
ที่จำเลยฎีกาในข้อสุดท้ายว่า สำเนาหนังสือสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.๒ ลงวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๒ และตามเอกสารหมาย จ.๓ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๒๒ เมื่อนับถึงวันฟ้องเป็นเวลาประมาณ๑๗ ปี และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๐ บัญญัติว่า”อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนด ๑๐ ปี” สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่าแม้จำเลยจะทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์เมื่อนับถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่า๑๐ ปีก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๑๒บัญญัติให้อายุความเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปเมื่อขณะทำสัญญาค้ำประกันโจทก์ยังไม่อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ โจทก์จะบังคับตามสิทธิเรียกร้องแห่งสัญญาค้ำประกันได้เมื่อใดย่อมขึ้นอยู่กับว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ชำระหนี้ที่จำเลยค้ำประกันได้เมื่อใด คดีนี้ได้ความว่าขณะที่โจทก์ฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์เป็นคดีล้มละลาย สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในมูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องยังไม่ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นจึงได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์เด็ดขาด และการฟ้องคดีล้มละลายย่อมมีผลเท่ากับเป็นการฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้อย่างหนึ่งตามวิธีการที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ บัญญัติไว้โดยเฉพาะอันมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา๑๙๓/๑๔ (๒) เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงเป็นโทษแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฤดีสุนันท์ย่อมเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๙๒ และตามมาตรา ๑๙๓/๑๕ วรรคหนึ่ง เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ ฉะนั้นแม้โจทก์จะฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันในภายหลัง ก็ยังไม่พ้นกำหนดอายุความ ๑๐ ปี ตามที่จำเลยฎีกา สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share