คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2567/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยแย่งสิทธิการครอบครองที่ดินโดยบุกรุกเข้าไปทำนา ทำให้โจทก์เสียหาย ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือเป็นที่ดินที่โจทก์ซื้อจากจำเลย ระบุอาณาเขตติดต่อทั้งสี่ทิศพร้อมทั้งเนื้อที่ คำขอบังคับก็ขอให้ขับไล่จำเลยและให้ใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ แม้โจทก์จะมิได้ระบุว่าที่ดินตั้งอยู่ที่หมู่บ้านตำบลใดก็เป็นฟ้องที่จำเลยเข้าใจได้ว่าโจทก์หมายถึงที่ดินแปลงไหน จึงให้การว่าจำเลยมีที่ดิน 2 แปลง ไม่เคยขายให้ผู้ใด ส่วนการบรรยายฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหาย เมื่อบรรยายแล้วว่าเสียหายเพราะการบุกรุก ก็ชัดเจนพอเพียงแล้ว จะเสียหายอะไรบ้างเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2507 จำเลยขายที่ดินให้โจทก์ 1แปลง ทิศเหนือจดนายสนอง ทิศใต้จดนายเสริญ ทิศตะวันออกจดป่า ทิศตะวันตกจดป่า เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ ปรากฏตามแผนที่ที่เสนอมาท้ายฟ้อง จำเลยรับเงินไปแล้วตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขาย โจทก์เข้าครอบครองและบุกเบิกที่ดินแปลงนี้ส่วนที่ยังเป็นป่าจนเตียนเต็มเนื้อที่ หลักฐานการซื้อขายโจทก์จะส่งศาลในวันพิจารณา ครั้นเมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้จำเลยและบริวารได้เข้าไปไถคราดและหว่านข้าวลงในที่นาแปลงนี้ของโจทก์โดยพลการ โจทก์ได้ห้ามปรามแล้วไม่เชื่อฟัง ความเสียหายที่เกิดแก่โจทก์ครั้งนี้ประมาณ 10,000 บาท จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 10,000 บาทด้วย

จำเลยให้การว่า จำเลยมีที่นาอยู่ 2 แปลง และครอบครองทำประโยชน์ในฐานะเจ้าของตลอดมาไม่เคยขายให้แก่ผู้ใด โจทก์หรือบุคคลอื่นไม่เคยเข้าครอบครองหรือเข้าทำประโยชน์ในที่นาของจำเลย ฟ้องของโจทก์ไม่ได้แสดงให้จำเลยทราบว่าที่พิพาทอยู่ที่ไหน ความกว้างยาวของที่พิพาทและราคาที่จำเลยขายก็ไม่ปรากฏ ค่าเสียหายก็ไม่ระบุว่าเสียหายค่าอะไร ทำให้จำเลยไม่สามารถที่จะทำคำให้การต่อสู้คดีโดยชัดแจ้งได้ ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม

คู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดีไปประเด็นเดียวว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เป็นข้อแพ้ชนะในคดี

ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีข้อวินิจฉัยตามคำท้าของคู่ความว่า ฟ้องโจทก์ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองบัญญัติว่า คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้น หาได้วางกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ว่าคำฟ้องเรื่องใดจะต้องแสดงซึ่งสภาพแห่งข้อหาอย่างไรไม่ เพียงแต่กำหนดไว้ว่าคำฟองนั้นต้องให้ได้ความแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหานั้นเท่านั้นก็ใช้ได้ คำฟ้องคดีนี้โจทก์ได้บรรยายสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยแย่งสิทธิการครอบครองที่ดินโดยบุกรุกเข้าไปทำนาทำให้โจทก์เสียหาย ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือ เป็นที่ดินที่โจทก์ซื้อจากจำเลยเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2507 ซึ่งมีอาณาเขตทิศเหนือจดนายสนอง ทิศใต้จดนายเสริญ ทิศตะวันตกและทิศตะวันออกจดป่า เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ คำขอบังคับก็ขอให้ขับไล่จำเลยและให้ใช้ค่าเสียหาย ดังนี้แม้โจทก์จะมิได้ระบุว่าที่ดินตั้งอยู่ที่หมู่บ้านตำบลใด ก็เป็นฟ้องที่จำเลยเข้าใจได้ว่าโจทก์หมายถึงที่ดินแปลงไหน จึงให้การว่าจำเลยมีที่ดิน 2 แปลง ไม่เคยขายให้ผู้ใดเลย ส่วนการบรรยายฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหาย เมื่อบรรยายแล้วว่าเสียหายเพราะการบุกรุกก็ชัดเจนพอเพียงแล้ว จะเสียหายอะไรบ้างเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ที่ศาลล่างพิพากษายกฟ้องโจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น

เมื่อศาลวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์สมบูรณ์ จำเลยก็ต้องแพ้คดีตามคำท้า

พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ส่วนค่าเสียหายเห็นสมควรให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์ 5,000 บาท ทั้งให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลโดยกำหนดค่าทนายความ 600 บาทแทนโจทก์ด้วย

Share