แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวารออกจากที่ดินและห้องพิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์ โดยวินิจฉัยว่าที่ดินและห้องพิพาทเดิมมีโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอยู่กับ ก. มารดาของโจทก์โดยไม่ปรากฏว่าใครมีส่วนเท่าใด จึงถือว่ามีกรรมสิทธิ์คนละครึ่ง ก. ไม่มีสิทธิจะขายที่ดินทั้งแปลงให้ฝ่ายจำเลยเพราะไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ แต่ที่ดินและห้องพิพาทในส่วนที่เป็นของโจทก์ ฝ่ายจำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิของโจทก์อันเป็นการครอบครองแทนโจทก์ แม้ต่อมาจะมีปัญหาในชั้นบังคับคดีว่า ไม่ปรากฏว่าที่ดินและห้องพิพาทซึ่งมีอยู่ 2 ห้อง ส่วนใดเป็นของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 และบริวารต้องออกไป ศาลชั้นต้นก็ไม่อาจมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่พิพาทออกประมูลขายได้เพราะเป็นการบังคับคดีที่นอกเหนือจากคำพิพากษา ซึ่งไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 271 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่พิพาทออกประมูลขายระหว่างคู่ความหรือนำออกขายทอดตลาดจึงไม่ชอบ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5643 และห้องพิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอหมายบังคับคดี ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขอให้ศาลออกหมายจับกุมและกักขังจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนหมายจับจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นจึงนัดพร้อมและมีคำสั่งว่าปรากฏตามคำพิพากษาศาลฎีกาว่าไม่ได้บ่งชี้ว่าที่ดินและตึกแถวพิพาทส่วนไหนเป็นของโจทก์หรือของจำเลย จึงให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 ไปตกลงราคาค่าทรัพย์พิพาทระหว่างกันเอง หากตกลงกันไม่ได้ให้นำทรัพย์สินที่พิพาทออกประมูลขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง และให้ออกหมายปล่อยจำเลยที่ 1 แต่โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่พิพาทออกประมูลขายระหว่างกันเองแล้วนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง ถ้ายังตกลงกันไม่ได้ให้นำทรัพย์สินที่พิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำสั่งศาลชั้นต้นให้นำทรัพย์สินที่พิพาทออกประมูลขายระหว่างคู่ความหรือนำออกขายทอดตลาด ตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2543 ชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5643 ตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ และห้องพิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์ โดยวินิจฉัยว่าที่ดินและห้องพิพาทเดิมมีโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอยู่กับนางกิมเน้ย มารดาของโจทก์โดยไม่ปรากฏว่าใครมีส่วนเท่าใด จึงถือว่ามีกรรมสิทธิ์คนละครึ่ง นางกิมเน้ยไม่มีสิทธิจะขายที่ดินทั้งแปลงให้ฝ่ายจำเลยเพราะไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ แต่ที่ดินและห้องพิพาทในส่วนที่เป็นของโจทก์ ฝ่ายจำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิของโจทก์อันเป็นการครอบครองแทนโจทก์ ดังนี้ แม้ต่อมาจะมีปัญหาในชั้นบังคับคดีว่า ไม่ปรากฏว่าที่ดินและห้องพิพาทซึ่งมีอยู่ 2 ห้อง ส่วนใดเป็นของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 และบริวารต้องออกไป ศาลชั้นต้นก็ไม่อาจมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่พิพาทออกประมูลขายได้เพราะเป็นการบังคับคดีที่นอกเหนือจากคำพิพากษา ซึ่งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่พิพาทออกประมูลขายระหว่างคู่ความหรือนำออกขายทอดตลาดจึงไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน