คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2565/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อที่ดินและอาคารพิพาทโดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์จากจำเลยที่ 3 มาเป็นของโจทก์และโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินและอาคารพิพาทแล้ว ต่อมา ส. ฟ้องขอให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทดังกล่าวโดยฟ้องโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกเป็นจำเลย ศาลมีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทระหว่างจำเลยในคดีดังกล่าว และให้จำเลยในคดีดังกล่าวโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารพิพาทแก่ ส. พร้อมรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือ ผลของคดีดังกล่าวย่อมทำให้สิทธิแห่งความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารพิพาทของโจทก์หมดสิ้นไปทันที ทั้งที่โจทก์ได้ชำระเงินค่าที่ดินและอาคารพิพาทให้แก่ฝ่ายจำเลยผู้ขายไปครบถ้วนแล้ว กรณีจึงเห็นได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการกระทำของฝ่ายจำเลยผู้ขาย ถือได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าซื้อที่ดินและอาคารพิพาทคืนจากฝ่ายจำเลยผู้ขายได้ การที่ ส. โจทก์ในคดีดังกล่าวยังมิได้ชำระเงินค่าที่ดินและอาคารพิพาทส่วนที่เหลือให้แก่ผู้ขายหรือยังมิได้ดำเนินการบังคับคดีในคดีดังกล่าวเป็นกรณีที่ ส. กับจำเลยในคดีดังกล่าวจะต้องไปว่ากล่าวกันในคดีนั้น หาทำให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารพิพาทของโจทก์คดีนี้ที่ถูกเพิกถอนไปแล้วกลับคืนมาอีกไม่
การที่ ส. สละสิทธิไม่ยอมบังคับคดีหรือไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวโดย ส. กับโจทก์ในคดีนี้ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและอาคารพิพาทหลังจากศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการซื้อที่ดินและอาคารพิพาทแล้ว ไม่ว่าจะเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระค่าธรรมเนียมและภาษีที่รัฐจะได้รับจากการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์หรือลดค่าใช้จ่ายก็ตาม เป็นเรื่องที่มิได้เกี่ยวกับการที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าซื้อที่ดินและอาคารพิพาคืนจากจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ ส. จะปฏิบัติตามคำบังคับของศาลในคดีดังกล่าวหรือไม่ เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันในคดีดังกล่าว มิใช่คดีนี้ การที่โจทก์ซื้อที่ดินและอาคารพิพาทแล้วไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารพิพาทจึงฟ้องจำเลยทั้งสามให้คืนเงินค่าซื้อที่ดินและอาคารพิพาทจึงมีอำนาจกระทำได้ มิใช่เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต
โจทก์ทวงถามจำเลยที่ 1 ให้คืนเงินค่าซื้อที่ดินและอาคารพิพาทแก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือทวงถาม จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2540 แล้วเพิกเฉย จึงตกเป็นผู้ผิดนัดจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 203 วรรคแรก และมาตรา 204 วรรคแรก ประกอบมาตรา 224 วรรคแรก จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๕,๘๙๘,๗๔๖.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔,๓๕๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า เดิมจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของที่ดินรวม ๖ แปลง ซึ่งจำนองไว้แก่ธนาคารมหานคร จำกัด ต่อมาประมาณปี ๒๕๓๑ นายสมเกียรติ นิ่มกรชัย ขอซื้อที่ดินดังกล่าวตกลงชำระเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในวันโอนกรรมสิทธิ์และไถ่ถอนจำนอง ส่วนที่เหลือ ๔,๕๐๐,๐๐๐ บาท ผ่อนชำระเป็นเช็ค ภายหลังนายสมเกียรติไม่สามารถหาเงินมาไถ่ถอนจำนองได้ จึงขอให้จำเลยที่ ๑ โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่นางสาวสุนีย์ นิ่มกรชัย นายสมยศ นิ่มกรชัย และนายกฤต โกมลฤทธิ์ เนื่องจากบุคคลทั้งสามจะเป็นผู้ติดต่อแหล่งเงินกู้มาไถ่ถอนจำนอง และต่อมาสามารถหาเงินมาไถ่ถอนจำนองได้ จำเลยที่ ๑ จึงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลทั้งสาม และในวันเดียวกันนายสมเกียรติและบุคคลทั้งสามร่วมกันออกเช็คจำนวน ๙ ฉบับ มอบให้จำเลยที่ ๑ เพื่อชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือซึ่งภายหลังสามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ฉบับเดียว จำเลยที่ ๑ จึงทวงถามค่าที่ดิน แต่บุคคลทั้งสี่ขอผัดผ่อนให้ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ออกจำหน่ายก่อนจึงจะนำเงินมาชำระ ภายหลังบุคคลทั้งสี่ตกลงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารพาณิชย์บางส่วนให้แก่จำเลยที่ ๑ เพื่อชำระหนี้ที่เหลือทั้งหมด โดยให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้งหมด จำเลยที่ ๑ ตกลงและโอนใส่ชื่อจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุตรสาวถือกรรมสิทธิ์แทนโดยไม่ทราบว่าที่ดินและอาคารเลขที่ ๑/๑๗ มีภาระผูกพันอยู่กับบุคคลอื่น ต่อมาจำเลยที่ ๓ บุตรสะใภ้ของจำเลยที่ ๑ จะซื้อที่ดินและอาคารพิพาทและขอให้โอนกรรมสิทธิ์แก่จำเลยที่ ๓ ก่อนเพื่อนำไปขอกู้เงินและจำนองแก่ธนาคารพาณิชย์ จำเลยที่ ๑ จึงจดทะเบียนโอนให้ แต่จำเลยที่ ๓ ไม่สามารถกู้เงินได้จึงขอยกเลิกการซื้อขาย จำเลยที่ ๑ เกรงจะเสียค่าใช้จ่ายในการโอนเป็นเงินจำนวนมาก จึงมิได้จดทะเบียนโอนคืน แต่ให้จำเลยที่ ๓ ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่ได้กรอกข้อความให้จำเลยที่ ๑ ยึดถือไว้เป็นการโอนลอยคืนแก่จำเลยที่ ๑ ครั้นวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๓๓ โจทก์ติดต่อซื้อที่ดินและอาคารพิพาทจากจำเลยที่ ๑ ในราคา ๒,๓๕๐,๐๐๐ บาท และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๓๓ แต่ต่อมาวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๔ นายสมชาย แซ่ตั้ง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งธนบุรี ขอให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทดังกล่าวแล้วให้จดทะเบียนโอนแก่นายสมชาย คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาท ให้กรรมสิทธิ์กลับมาเป็นของนางสาวสุนีย์ นิ่มกรชัย ในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนบริษัทเกียรติศิริค้าไม้และก่อสร้าง จำกัด แล้วให้จดทะเบียนโอนแก่นายสมชายและรับเงินที่เหลือ ๑,๑๒๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์สมคบกับนายสมชายเรียกร้องเงินจากจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยอ้างว่าเป็นค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับเนื่องจากแพ้คดีดังกล่าว ทั้งที่นายสมชายก็มิได้ดำเนินการบังคับคดีและปัจจุบันโจทก์ยังคงครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินและอาคารพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าซื้อที่ดินและอาคารพิพาทคืนพร้อมดอกเบี้ยเนื่องจากโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายและไม่มีอำนาจเรียกเงินจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่โจทก์อ้างว่าชำระให้แก่นายสมชายไปเพราะเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ชำระเงิน ๑,๔๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๐ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๕,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิให้ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๓๓ โจทก์ซื้อที่ดินและอาคารพิพาท โดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์จากจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์มาเป็นของโจทก์ ในราคา ๒,๓๕๐,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๔ นายสมชาย แซ่ตั้งหรือภูอมรเลิศ เป็นโจทก์ฟ้องบริษัทเกียรติศิริค้าไม้และก่อสร้าง จำกัด เป็นจำเลยที่ ๑ นางสาวสุนีย์ นิ่มกรชัย ที่ ๒ นางชัชวดี อัมภิกาภรณ์ ที่ ๓ นางจินตนา ทัสนิยม ที่ ๔ และโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยที่ ๕ ต่อศาลแพ่งธนบุรี ขอให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารพิพาทดังกล่าวกลับมาเป็นของจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนจำเลยที่ ๑ ตามเดิม ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารพิพาทแก่นายสมชายและรับเงินส่วนที่เหลือ ๑,๑๒๐,๐๐๐ บาท ศาลแพ่งธนบุรีฟังข้อเท็จจริงว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารพิพาทในระหว่างจำเลยดังกล่าวเป็นการโอนที่ทำให้นายสมชายเสียเปรียบ และพิพากษาให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทกลับมาเป็นของจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนจำเลยที่ ๑ ตามเดิม ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารพิพาทแก่นายสมชายและรับเงินส่วนที่เหลือ ๑,๑๒๐,๐๐๐ บาท ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน คดีถึงที่สุด หลังจากนั้นโจทก์ได้ซื้อที่ดินและอาคารพิพาทจากนายสมชาย แต่ยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนเนื่องจากโจทก์ไม่สามารถหาเงินมาไถ่ถอนจำนองที่ดินและอาคารพิพาท และต้องการลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวการชำระค่าธรรมเนียมและภาษีในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้เพื่อเรียกเงินค่าที่ดินและอาคารพิพาทคืนจากจำเลยทั้งสาม ปัจจุบันโจทก์ยังเป็นผู้ครอบครองและมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารพิพาท
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินและอาคารพิพาทโดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์จากจำเลยที่ ๓ มาเป็นของโจทก์และโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินและอาคารพิพาทดังกล่าวแล้ว ต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เพื่อโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่นายสมชาย อันมีผลทำให้สิทธิแห่งความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารพิพาทของโจทก์หมดสิ้นไปทันที ทั้ง ๆ ที่โจทก์ได้ชำระเงินค่าที่ดินและอาคารที่พิพาทให้แก่ฝ่ายจำเลยไปครบถ้วนแล้ว กรณีจึงเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายแล้วจากการกระทำของฝ่ายจำเลย ถือได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าซื้อที่ดินและอาคารพิพาทคืนจากฝ่ายจำเลยผู้ขายได้ การที่นายสมชายโจทก์ในคดีก่อนยังมิได้ชำระเงินส่วนที่เหลือให้แก่ผู้ขายหรือยังมิได้ดำเนินการบังคับคดีในคดีก่อน เป็นกรณีที่นายสมชายกับจำเลยทั้งห้าจะต้องไปว่ากล่าวกันต่อไปในคดีดังกล่าว หาทำให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารพิพาทของโจทก์ในคดีนี้ที่ถูกเพิกถอนไปแล้วกลับคืนมาอีกไม่
ส่วนที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยใช้สิทธิไม่สุจริต เพราะโจทก์สมคบกับนายสมชายโจทก์ในคดีก่อนจงใจไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวเพื่อเจตนาหลีกเลี่ยงการชำระค่าธรรมเนียมและภาษีที่รัฐจะได้รับจากการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และต้องการลดค่าใช้จ่ายและสละสิทธิการบังคับคดีเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินที่นายสมชายได้รับจากโจทก์ อันเป็นการแสวงหาประโยชน์จากการค้าความนั้น เห็นว่า การที่นายสมชายโจทก์ในคดีก่อนสละสิทธิไม่ยอมบังคับคดีหรือไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา โดยนายสมชายกับโจทก์คดีนี้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและอาคารพิพาทไม่ว่าจะเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระค่าธรรมเนียมและภาษีที่รัฐจะได้รับจากการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์หรือลดค่าใช้จ่ายก็ตาม เป็นเรื่องที่มิได้เกี่ยวกับการที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าซื้อที่ดินและอาคารพิพาทคืนจากจำเลยทั้งสามแต่ประการใด นายสมชายจะปฏิบัติตามคำบังคับของศาลฎีกาในคดีดังกล่าวหรือไม่เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันในคดีดังกล่าว มิใช่คดีนี้ เมื่อโจทก์คดีนี้ซื้อที่ดินและอาคารพิพาทแล้วมิได้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารพิพาท โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามให้คืนเงินค่าที่ดินและอาคารพิพาทได้ มิใช่เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ข้อต่อไปมีว่า จำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๐ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยที่ ๑ ให้คืนเงินค่าซื้อที่ดินและอาคารพิพาทแก่โจทก์ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือทวงถาม จำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๔๐ แต่จำเลยที่ ๑ เพิกเฉย จึงตกเป็นผู้ผิดนัดจะต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๐๓ วรรคแรก และมาตรา ๒๐๔ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๒๒๔ วรรคแรก จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๐ แต่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ ๑ รับผิดตั้งแต่วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๐ จึงนับว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ ๑ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ รับผิดใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๖,๐๐๐ บาท.

Share