แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีว่า จ.หาใช่หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ไม่ การที่ จ.ลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขายเป็นการทำในฐานะส่วนตัว โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบได้ว่าผู้ขายคือโจทก์เพราะในสัญญาซื้อขายดังกล่าวได้ระบุด้วยว่าผู้ขายคือโจทก์และมีตราประทับของโจทก์ด้วย สัญญาซื้อขายข้อ 10 กำหนดว่า ถ้าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาข้อหนึ่งข้อใดก็ตาม จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 2 แล้วโจทก์ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาแก่จำเลยที่ 2 โดยสิ้นเชิงภายใน 30 วันนับแต่เมื่อได้รับแจ้งจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นข้อกำหนดเพียงให้สิทธิจำเลยที่ 2 เรียกค่าเสียหายจากโจทก์เท่านั้น มิได้ให้สิทธิจำเลยที่ 2 ไม่ต้องชำระราคาที่ค้างหรือหักกลบลบหนี้กันได้เอง หากจำเลยที่ 2 มีความเสียหายอย่างไรก็ชอบที่จะฟ้องแย้งหรือหักกลบลบหนี้เข้ามาในคำให้การทั้งตามคำให้การของจำเลยก็ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนค่าเสียหายที่แน่นอนอันพอจะถือได้ว่าจำเลยประสงค์จะให้เกิดประเด็นในเรื่องหักกลบลบหนี้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีนางสาวมาลีเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันซื้อและจ้างโจทก์ให้ประกอบและติดตั้งเครื่องจักรให้จำเลยทั้งสองในราคา 886,000 บาท โจทก์ดำเนินการตามสัญญาให้จำเลยทั้งสองจนแล้วเสร็จ จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วน และยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นเงิน 200,000 บาท โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองแล้วไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้จำนวนดังกล่าวกับดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ผู้ขายตามสัญญาซื้อขายเอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่โจทก์แต่เป็นนายจิว และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ซื้อแต่ผู้เดียวฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง นายจิวติดตั้งเครื่องจักรล่าช้า เครื่องยนต์บางส่วนใช้ไม่ได้ตามปกติเพราะใช้วัสดุไม่ได้มาตรฐาน จนต้องให้ช่างอื่นซ่อมจำเลยที่ 2 เสียหายมากกว่าที่เป็นหนี้นายจิว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน218,750 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 200,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จยกฟ้องจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ 2 ฎีกาในเรื่องอำนาจฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีนางสาวมาลี เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ มีอำนาจทำนิติกรรมแทนโจทก์แต่เพียงผู้เดียว แต่ตามสัญญาซื้อขายเครื่องเลื่อยสายพานเอกสารหมายจ.5 นั้น ระบุว่า นายจิว เวงหยุ่น หุ้นส่วนผู้จัดการเป็นผู้ขายหาใช่ในฐานะผู้รับมอบอำนาจไม่ และเมื่อจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำให้การต่อสู้ว่านายจิวมิใช่หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ จึงไม่มีอำนาจทำสัญญาซื้อขายเครื่องเลื่อยสายพานเอกสารหมาย จ.5 แทนโจทก์โจทก์ไม่เคยขอแก้ไขคำฟ้องว่านายจิวทำสัญญาซื้อขายเครื่องเลื่อนสายพานเอกสารหมาย จ.5 แทนโจทก์ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.6คำฟ้องโจทก์บรรยายอย่างหนึ่ง แต่โจทก์นำสืบอีกอย่างหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีสิทธินำสืบหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.6 นั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีว่า นายจิวหาใช่หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ไม่ การที่นายจิวได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ขายในสัญญาซื้อขายเครื่องเลื่อยสายพานเอกสารหมาย จ.5 จึงเป็นการทำในฐานะส่วนตัวของนายจิว เนื่องจากจำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีมีประเด็นขึ้นมาเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบได้ว่าสัญญาซื้อขายเครื่องเลื่อยสายพานเอกสารหมาย จ.5 นั้น ผู้ขายคือโจทก์ไม่ใช่นายจิวในฐานะส่วนตัวตามที่จำเลยที่ 2 ต่อสู้ ถึงแม้ว่าในสัญญาซื้อขายดังกล่าวนั้นจะได้ระบุว่า “นายจิว เวงหยุ่น หุ้นส่วนผู้จัดการ” แต่ในสัญญาซื้อขายดังกล่าวก็ได้ระบุไว้ด้วยว่าผู้ขายคือ “กรุงธนโลหะกรรม”และยังมีตราประทับของโจทก์ไว้ด้วย โจทก์จึงได้นำสืบให้เห็นว่าผู้ขายในสัญญาซื้อขายดังกล่าวนั้นก็คือโจทก์
จำเลยที่ 2 ฎีกา จำเลยที่ 2 มีสิทธิจะปฏิเสธไม่ชำระเงินเนื่องจากนายจิวประพฤติผิดสัญญา จำเลยที่ 2 มีสิทธิหักกลบลบหนี้ได้โดยไม่ต้องฟ้องแย้งนั้นเห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายเครื่องเลื่อยสายพานเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 10 มีข้อกำหนดว่า ถ้าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาข้อหนึ่งข้อใดก็ตาม จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 2 แล้ว โจทก์ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาแก่จำเลยที่ 2 โดยสิ้นเชิงภายใน 30 วัน นับแต่เมื่อได้รับแจ้งจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นข้อกำหนดเพียงให้สิทธิจำเลยที่ 2 เรียกค่าเสียหายจากโจทก์เท่านั้น ข้อกำหนดไม่ได้ระบุว่าให้จำเลยที่ 2 มีสิทธิไม่ต้องชำระราคาที่ค้างหรือหักกลบลบหนี้กันได้เอง หากจำเลยที่ 2 มีความเสียหายอย่างไร จำเลยที่ 2 ก็ชอบที่จะฟ้องแย้งหรือขอใช้สิทธิหักกลบลบหนี้เข้ามาในคำให้การ ทั้งตามคำให้การของจำเลยก็ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนค่าเสียหายที่แน่นอนอันจะพอถือได้ว่าจำเลยประสงค์จะให้เกิดประเด็นในเรื่องหักกลบลบหนี้ จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยให้
พิพากษายืน.