คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

องค์ประกอบความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 281 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 26,30 จะต้องมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายตามหลักฐานทางบัญชีในรอบปีบัญชี พ.ศ. 2515 เป็นสาระสำคัญ โดยโจทก์ต้องบรรยายในฟ้องให้ปรากฏว่าในรอบปีบัญชี พ.ศ. 2515 จำเลยมีปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายของธุรกิจตามหลักฐานทางบัญชีเป็นจำนวนเท่าใด และในการที่จำเลยได้รับอนุญาตจากอธิดีกรมทะเบียนการค้าให้เพิ่มปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายของธุรกิจในรอบปีบัญชี พ.ศ. 2518 เป็นจำนวนเงิน 255,000,000 บาท นั้น เป็นการเกินกว่าร้อยละ 30 ของปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายตามหลักฐานทางบัญชีในรอบปีบัญชี พ.ศ. 2515 ซึ่งเป็นการแสดงว่าจำเลยได้ประกอบธุรกิจฝ่าฝืนเงื่อนไขตามกฎหมาย เมื่อในฟ้องไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวฟ้องของโจทก์จึงขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทแองโกล-ไทย (กรุงเทพฯ) จำกัด จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีนายรอดเน่ย วิลล์มอทท์ ฟิลกริม จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นคนต่างด้าวเป็นกรรมการผู้จัดการ จำเลยที่ ๑ เป็นคนต่างด้าวโดยมีคนต่างด้าวถือหุ้นเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ถือหุ้นและคนต่างด้าวเป็นกรรมการผู้จัดการ จำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวตามบัญชี ข. หมวด ๓ (๑) และบัญชี ค. หมวด ๑ (๑) หมวด ๑ (๓) หมวด ๓ (๑) ท้ายประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๑ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ คือการค้าปลีกสินค้าทุกชนิด การค้าส่งสินค้าทุกชนิดในประเทศการค้าปลีกสินค้าเครื่องจักรเครื่องกลและเครื่องมือ และการประกอบธุรกิจบริการ รับจ้างการธุรกิจศึกษา และวิจัยตลาด รับจ้างค้ำประกัน ในปีบัญชี พ.ศ. ๒๕๑๘ (ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๑๘ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๑๙) จำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมทะเบียนการค้าให้เพิ่มปริมาณการจำหน่ายได้ไม่เกิน ๒๕๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
เมื่อระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๑๘ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๑๙ ทั้งเวลากลางวันกลางคืนติดต่อกันอันเป็นระยะเวลาปีบัญชี พ.ศ. ๒๕๑๘ จำเลย ที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ในฐานะกรรมการผู้จัดการ และจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นคนต่างด้าวในฐานะส่วนตัว ได้บังอาจร่วมกันประกอบธุรกิจดงกล่าวมีปริมาณการจำหน่ายทั้งสิ้นเป็นจำนวนเงิน ๒๕๙,๑๖๖,๔๗๗ บาท อันเป็นการเพิ่มปริมาณการจำหน่ายเกินกว่าที่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมทะเบียนการค้าเป็นจำนวนเงิน ๔,๑๖๖,๔๗๗ บาท เหตุเกิดที่แขวงสุรวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๑ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ข้อ ๓,๔,๒๖,๓๐ และสั่งให้จำเลยทั้งสองเลิกประกอบธุรกิจดังกล่าวด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธและตัดฟ้องว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ฟ้องโจทก์ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามที่โจทก์กล่าวหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นอีกต่อไป พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามบทลงโทษแห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๘๑ มี ๒ ข้อ ประกอบกัน คือ ข้อ ๓๐ และข้อ ๒๖
ข้อ ๓๐ บัญญัติว่า “คนต่างด้าวซึ่งประกอบธุรกิจที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้อยู่แล้วในวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับจะประกอบธุรกิจนั้นต่อไปได้ต่อเมื่อได้รับหนังสือรับรองจากอธิบดีซึ่งต้องอยู่ภายในเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(๑) ฯลฯ
(๒) ธุรกิจตามบัญชี ข.และ ค. ท้ายประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้จะประกอบธุรกิจต่อไปได้โดยไม่มีกำหนดเวลา แต่ห้ามมิให้ผู้รับหนังสือรับรองเพิ่มปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายของธุรกิจนั้นในรอบปีบัญชีต่อๆไป เกินกว่าร้อยละสามสิบของปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายของธุรกิจนั้นตามที่ปรากฏหลักฐานทางบัญชีในรอบปีบัญชี พ.ศ. ๒๕๑๕ หรือตั้งสาขาของธุรกิจนั้นเพิ่มขึ้นจากที่ปรากฏหลักฐานในวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดี ฯลฯ ”
ข้อ ๒๖ บัญญัติว่า “คนต่างด้าวผู้ใดประกอบธุรกิจโดยฝ่าฝืนข้อ ๔……………..ฯลฯ…………….หรือฝ่าฝืนเงื่อนไขที่กำหนดในหนังสือรับรอง ตามข้อ ๓๐ ต้องระวางโทษ……………ฯลฯ………..”
ฉะนั้น องค์ประกอบความผิดตามกฎหมายที่โจทก์ฟ้องดังกล่าว จึงต้องมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายตามหลกฐานทางบัญชีในรอบปีบัญชี พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นสาระสำคัญ กล่าวคือ โจทก์ต้องกล่าวบรรยายมาในฟ้องให้ปรากฏว่าในรอบปีบัญชี พ.ศ. ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๑ ที่ปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายของธุรกิจตามหลักฐานทางบัญชีเป็นจำนวนเท่าใด และในการที่จำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมทะเบียนการค้าให้เพิ่มปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายของธุรกจในรอบปีบัญชี พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นจำนวนเงิน ๒๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท นั้นเป็นการเกินกว่าร้อยละสามสิบของปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายตามหลักฐานทางบัญชีในรอบปีบัญชี พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ ๑ ได้ประกอบธุรกิจฝ่าฝืนเงื่อนไขตามกฎหมาย เมื่อในฟ้องไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวฟ้องของโจทก์จึงขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘
พิพากษายืน.

Share