คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3987/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์อุทธรณ์เพียงว่าไม่ควรรอการลงโทษแก่จำเลยทั้งสอง ดังนี้ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะมีอำนาจหยิบยกปัญหาที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษไม่ถูกต้องขึ้นวินิจฉัยเอง อันเป็นการปรับบทกฎหมายที่ถูกต้องลงโทษแก่จำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดโทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสองเสียใหม่ด้วย สูงกว่าโทษที่ศาลชั้นต้นลงแก่จำเลยทั้งสอง โดย โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองให้หนักขึ้น เป็นการเพิ่มเติม โทษซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 91, 277, 310, 318

จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 318 วรรคสาม เป็นความผิดสองกรรม ลงโทษทุกกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จำคุกคนละ 3 ปี และปรับคนละ 10,000 บาท ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา จำคุกคนละ 2 ปี และปรับคนละ 10,000 บาท รวมจำคุกคนละ 5 ปี และปรับคนละ 20,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 2 ปี 6 เดือนและปรับคนละ 10,000 บาท ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 เพียงแต่พาจำเลยที่ 2 กับผู้เสียหายที่ 1 ไปส่งเท่านั้น มิได้ลงมือข่มขืนผู้เสียหายที่ 1 ด้วย และจำเลยที่ 2 กับผู้เสียหายที่ 1 ก็เป็นคนรักใคร่ชอบพอกันทั้งผู้เสียหายทั้งสองได้รับชดใช้ค่าเสียหายจนไม่ติดใจเอาความแล้ว โทษจำคุกจำเลยทั้งสองจึงเห็นสมควรให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม จำคุก 5 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 317 วรรคสามให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 2 อายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี จำคุก 2 ปี 8 เดือน ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารจำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี จำคุก 1 ปี 4 เดือน ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 1 ปี 8 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 12 เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่งนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงความผิดฐานร่วมกันพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคหนึ่ง เท่านั้นมิใช่เป็นการพรากเด็กไปเพื่อการอนาจารตามมาตรา 317 วรรคสอง นั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 เข้าใจว่าผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยที่ 2 รักใคร่กันฉันชู้สาว แต่ในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ก็เป็นผู้ไปแจ้งให้ผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งอยู่ด้วยกันตามลำพังในยามวิกาลทราบว่าผู้ปกครองของผู้เสียหายที่ 1 กำลังติดตามหาผู้เสียหายที่ 1 ยิ่งไปกว่านั้นจำเลยที่ 1 ยังขับรถพาจำเลยที่ 2 และผู้เสียหายที่ 1 ไปหลบอยู่ที่หมู่บ้านเขาชะอมเพื่อให้พ้นจากการติดตามหาตัวผู้เสียหายที่ 1 พบ เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 มีอายุ 27 ปี เป็นผู้ใหญ่กว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งอายุ 17 ปีเศษ และผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งอายุเพียง 14 ปีเศษจำเลยที่ 1 ย่อมทราบดีว่าโดยพฤติการณ์และในสภาวะที่จำเลยที่ 2 พาผู้เสียหายที่ 1 ไปตามลำพังเช่นนั้น ย่อมเป็นโอกาสที่จำเลยที่ 2 จะล่วงเกินทางเพศต่อผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งยังเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้นอย่างไรก็ตามสำหรับความผิดในข้อหานี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม จำคุกคนละ 3 ปี และปรับคนละ 10,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่งเพราะเหตุรับสารภาพ คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 5,000 บาท และรอการลงโทษให้ โจทก์อุทธรณ์สำหรับความผิดข้อหานี้เพียงว่าไม่ควรรอการลงโทษแก่จำเลยทั้งสอง ดังนี้ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะมีอำนาจหยิบยกปัญหาที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษความผิดข้อหาดังกล่าวมาไม่ถูกต้องขึ้นวินิจฉัยเองโดยพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสอง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม อันเป็นการปรับบทกฎหมายที่ถูกต้องลงโทษแก่จำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดโทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสองเสียใหม่ด้วย สูงกว่าโทษที่ศาลชั้นต้นลงแก่จำเลยทั้งสอง เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองให้หนักขึ้น จึงเป็นการเพิ่มเติมโทษซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ฉะนั้น แม้จำเลยที่ 2 มิได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย โดยให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสองสำหรับข้อหานี้ และเห็นสมควรไม่ลดมาตราส่วนโทษเพราะเหตุอายุ 17 ปีเศษให้แก่จำเลยที่ 2 ในข้อหานี้ เพราะเป็นกรณีที่ศาลหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองซึ่งเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า ฝ่ายผู้เสียหายทั้งสองกับจำเลยทั้งสองตกลงกันได้โดยฝ่ายจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝ่ายผู้เสียหายทั้งสองแล้ว และฝ่ายผู้เสียหายทั้งสองแถลงไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองประกอบกับตามพยานเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 ซึ่งทนายจำเลยทั้งสองส่งต่อศาลประกอบการถามค้านผู้เสียหายที่ 1 น่าเชื่อว่า ผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ผูกสมัครรักใคร่กันฉันชู้สาวจริง จึงมีเหตุควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยทั้งสองแต่สมควรกำหนดโทษปรับด้วยและเพื่อให้โทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสองเหมาะสมแก่ความผิด ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษปรับสำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลงแก่จำเลยที่ 2 เช่นกัน”

พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม ให้บังคับโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 5,000 บาท สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 2 จำนวน 15,000 บาท อีกสถานหนึ่ง เมื่อลดมาตราส่วนโทษหนึ่งในสามและลดโทษกึ่งหนึ่งแล้ว ลงโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน และปรับ 5,000 บาท รวมลงโทษจำเลยที่ 2 ทั้งสองข้อหาจำคุก 2 ปี 10 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกจำเลยทั้งสองให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share