คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2563/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลเยาวชนและครอบครัวพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมจำคุก 7 ปี เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนมีกำหนดขั้นต่ำ 2 ปี ขั้นสูง 4 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำเลยฐานพาอาวุธไปในเมืองปรับ 100 บาท ยกฟ้องข้อหาตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แสดงว่าความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นศาลอุทธรณ์พิพากษายืน มิได้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี จึงห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 124 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2537 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงจำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนสั้นไม่ทราบชนิดและขนาด ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับจำนวน 1 กระบอก มีกระสุนปืนจำนวน 4 นัดไม่ทราบขนาด ซึ่งอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวอยู่ในสภาพที่ใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนอาวุธปืนท้องที่ตามกฎหมายและร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปบริเวณถนนแสงศรีซอย 5 อันเป็นเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร และไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวไปและไม่ใช่กรณีที่จะต้องมีอาวุธปืนติดตัวไปเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์และร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายประพัฒน์ รัตนพงศ์ ผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าจำนวน 4 นัด แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหาย จึงทำให้ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายเหตุเกิดที่ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 80, 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่งและวรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 371, 80, 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 17ปีเศษ เมื่อคำนึงถึงอายุ อาชีพ สติปัญญา สุขภาพ นิสัย การศึกษา อบรม ความประพฤติทั้งสภาพความคิด ประกอบกับรายงานแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยของผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลาแล้ว ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก6 ปี ในความผิดฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ในความผิดฐานพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวให้ลงโทษตามมาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง อันเป็นกฎหมายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก6 เดือน รวมจำคุก 7 ปี จำเลยกระทำความผิดเพราะความเยาว์วัย คึกคะนอง ขาดความยั้งคิด หากได้รับการอบรมขัดเกลานิสัยน่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยยิ่งกว่าได้รับโทษจำคุกอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 104(2), 105 ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลามีกำหนดขั้นต่ำ 2 ปี ขั้นสูง 4 ปี นับแต่วันพิพากษา

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 ฐานพาอาวุธไปในเมืองและทางสาธารณะปรับ 100 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้ส่งตัวจำเลยเพื่อฝึกและอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลา มีกำหนด 1 เดือน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 107 และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับข้อหาตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมจำคุก 7 ปี เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลามีกำหนดขั้นต่ำ2 ปี ขั้นสูง 4 ปีศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองปรับ 100 บาทยกฟ้องโจทก์สำหรับข้อหาตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แสดงว่าในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลามีกำหนดขั้นต่ำ 2 ปี ขั้นสูง 4 ปี มิได้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 124 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ขัดกันในสาระสำคัญและขาดเหตุผล ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นรับฎีกาจำเลยมาไม่ชอบ”

พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share