คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2561/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การร้องคัดค้านและขอคืนทรัพย์สินที่ถูกยึดตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 นั้น ตามบทบัญญัติมาตรา 28 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อศาลสั่งรับคำร้องของพนักงานอัยการตามมาตรา 27 แล้ว ให้ศาลสั่งให้ประกาศในหนังสือพิมพ์ที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นสองวันติดต่อกันเพื่อให้ผู้ซึ่งอาจอ้างเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อนคดีถึงที่สุด ดังนั้น แม้ผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำร้องคัดค้านทรัพย์สินตามคำร้องรายการที่ 2 ดังกล่าวก็ตาม ถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้ยื่นคำร้องคัดค้านสำหรับทรัพย์สินตามคำร้องรายการที่ 2 นี้ด้วย ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฎีกาโต้แย้งขอให้คืนทรัพย์สิน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งริบให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 19, 22, 27, 29, 31
ศาลชั้นต้นได้ประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ตามกฎหมายให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าวยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินเข้ามาในคดี
ผู้คัดค้านที่ 1 ร้องคัดค้านว่า ขอให้ยกคำร้องและคืนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้าน ที่ 1
ผู้คัดค้านที่ 2 ร้องคัดค้าน ขอให้ยกคำร้องและคืนทรัพย์สิน 3 รายการดังกล่าวแก่ผู้คัดค้านที่ 2
ผู้คัดค้านที่ 3 ร้องคัดค้านขอให้ยกคำร้องและคืนทรัพย์สินทั้ง 2 รายการดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้านที่ 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งริบธนบัตร 1,156,000 บาท ทรัพย์สินรายการที่ 1 ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา31 ยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอให้ริบทรัพย์สินตามรายการที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ให้คืนทรัพย์สินรายการที่ 2 เงินดอลลาร์สหรัฐ 74,890 ดอลลาร์ แก่ผู้คัดค้านที่ 2 คืนทรัพย์สินรายการที่ 4 และที่ 5 โทรศัพท์มือถือยี่ห้อพานาโซนิค หมายเลขเครื่อง ไอเอ็มอีไอ 446592 91 5080040 หมายเลขซิมการ์ด 9705 0004 5815 และหมายเลขเครื่อง ไอเอ็มอีไอ 446592 91 5080560 หมายเลขซิมการ์ด 9701 0001 1605 รวม 2 เครื่อง ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ส่วนทรัพย์สินรายการที่ 3 โทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย หมายเลขเครื่อง 161906 หมายเลข 0 1 827 8365 ให้เก็บรักษาไว้คืนให้แก่เจ้าของแท้จริงต่อไป ยกคำร้องของผู้คัดค้านที่ 3
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบทรัพย์สินรายการที่ 2 เงินดอลลาร์สหรัฐ 74,890 ดอลลาร์ และทรัพย์สินรายการที่ 3 โทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย หมายเลขเครื่อง 161906 หมายเลข 0 1 827 8365 ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ทรัพย์สินทั้ง 5 รายการดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านที่ 1 มีอยู่หรือได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพโดยสุจริต เป็นทรัพย์ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จึงเสนอให้คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินพิจารณาวินิจฉัยและมีคำสั่งยึด คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินพิจารณาแล้วมีมติให้ยึดทรัพย์สินทั้ง 5 รายการดังกล่าว และขอให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งริบ คดีนี้ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกา ว่าทรัพย์สินตามคำร้องรายการที่ 2 คือเงิน 74,980 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินที่ผู้คัดค้านทั้งสองได้มาโดยสุจริตและไม่ได้เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แต่ปรากฎว่าตามคำร้องของผู้คัดค้านที่ 1 ระบุคัดค้านเฉพาะทรัพย์สินตามคำร้องรายการที่ 4 คือโทรศัพท์มือถือยี่ห้อพานาโซนิค หมายเลขเครื่อง 446592 91 5080040 หมายเลขซิมการ์ด 9705 0004 5815 จำนวน 1 เครื่องเท่านั้น โดยมิได้ระบุคัดค้านทรัพย์สินตามคำร้องรายการอื่น การร้องคัดค้านและขอคืนทรัพย์สินที่ถูกยึดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 นั้น ตามบทบัญญัติมาตรา 28 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อศาลสั่งรับคำร้องของพนักงานอัยการตามมาตรา 27 แล้ว ให้ศาลสั่งให้ประกาศในหนังสือพิมพ์ที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นสองวันติดต่อกัน เพื่อให้ผู้ซึ่งอาจอ้างเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อนคดีถึงที่สุด ดังนั้น แม้ผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำร้องคัดค้านทรัพย์สินตามคำร้องรายการที่ 2 ดังกล่าวก็ตาม ถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้ยื่นคำร้องคัดค้านสำหรับทรัพย์สินตามคำร้องรายการที่ 2 นี้ด้วย ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฎีกาโต้แย้งขอให้คืนทรัพย์สินรายการที่ 2 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คงมีปัญหาวินิจฉัยเฉพาะในส่วนฎีกาของผู้คัดค้านที่ 2 เท่านั้น ที่ผู้คัดค้านที่ 2 ฎีกาอ้างว่าเงิน 74,980 ดอลลาร์สหรัฐ มิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดโดยเป็นเงินที่ผู้คัดค้านที่ 2 ได้มาโดยสุจริตและนำติดตัวเข้ามาในประเทศไทยเพื่อซื้อสินค้าประเภทเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าจากประเทศไทยไปขายยังสาธารณรัฐกานา ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้ผู้คัดค้านที่ 1 มีนายเฉลียว ผู้จัดการบริษัท สปีด คาร์โก้ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าที่ส่งสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศทั้งทางเรือและทางอากาศ มาเบิกความเป็นพยานในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1173/2544 ว่า รู้จักกับผู้คัดค้านที่ 2 มาตั้งแต่ปี 2539 เนื่องจากผู้คัดค้านที่ 2 ค้าขายและนำส่งสินค้าประเภทดังกล่าวไปสาธารณรัฐกานาโดยใช้บริการของบริษัทดังกล่าวปีละประมาณ 2 ถึง 3 ครั้ง มูลค่าสินค้าที่นำส่งในแต่ละครั้งตั้งแต่ 500,000 บาท ถึง 200,000 บาท ครั้งล่าสุดก่อนเกิดเหตุผู้คัดค้านที่ 2 ขอให้บริษัท จองตู้คอนเทนเนอร์ ขนาด 20 ฟุต ให้ 1 ตู้ เพื่อจัดส่งสินค้าไปยังสาธารณรัฐกานาโดยทางเรือมีบริษัทและร้านค้าที่ขายสินค้าให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ส่งสินค้ามายัง บริษัทเพื่อบรรจุในตู้คอนเทนเนอร์แล้วประมาณครึ่งตู้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000,000 บาท ภายหลังจากที่ผู้คัดค้านที่ 2 ถูกจับมีร้านค้าโทรศัพท์สอบถามว่าจะให้จัดส่งสินค้าที่ผู้คัดค้านที่ 2 สั่งซื้อและวางมัดจำไว้แต่ยังไม่ได้ชำระราคาสินค้ารวมแล้วประมาณ 1,000,000 บาท ได้แล้วหรือไม่ จึงน่าจะมีน้ำหนักสนับสนุนให้รับฟังว่าเงิน 74,890 ดอลลาร์สหรัฐดังกล่าว เป็นเงินที่ผู้คัดค้านที่ 2 มีอยู่โดยสุจริตและไม่ถือว่ามีเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพโดยสุจริตของผู้คัดค้านที่ 2 และการที่ผู้คัดค้านที่ 2 นำเงินสดดังกล่าวซึ่งเป็นจำนวนมากติดตัวมาไม่ถือเป็นข้อพิรุธดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เนื่องจากผู้คัดค้านที่ 2 ซื้อสินค้าจากร้านค้าเสื้อผ้าแถวตึกใบหยกโดยไม่ได้ซื้อขายกับร้านใดร้านหนึ่งเป็นประจำ จึงมิได้ใช้สถาบันการเงินหรือชำระเงินผ่านสถาบันการเงินนั้น เห็นว่า เงินดังกล่าวมีจำนวนมากคิดเป็นเงินไทยเป็นเงินกว่าสองล้านห้าแสนบาท ซึ่งตามวิสัยของพ่อค้าที่เป็นสุจริตชนมักจะคำนึงถึงความปลอดภัยโดยส่วนใหญ่จะใช้บริการของสถาบันการเงินซึ่งแม้หากต้องชำระเป็นเงินสดก็อาจใช้บริการเบิกเงินสดจากเครื่องจ่ายเงินอัตโนมัติของสถาบันการเงินหรือการใช้เช็คเดินทางเพื่อแลกเป็นเงินสดหรือวิธีการอื่นใดโดยหลีกเลี่ยงการนำเงินสดจำนวนหลายล้านบาทติดตัวมาเพื่อชำระหนี้สินค้า การกล่าวอ้างดังกล่าวของผู้คัดค้านที่ 2 จึงไม่มีสาเหตุน่าเชื่อถือ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ทรัพย์สินตามคำร้องรายการที่ 2 คือเงิน 74,890 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินที่ผู้คัดค้านที่ 2 มีอยู่หรือได้มาในขณะถูกจับเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพโดยสุจริตของผู้คัดค้านที่ 2 จึงเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและพิพากษาให้ริบทรัพย์สินดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนและให้ยกฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1

Share